วิสาขบูชา
วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ เวลาใกล้เที่ยง ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี พระโพธิสัตว์ เจ้าชายสิทธัตถะ พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริมหามายา ได้ประสูติใต้ต้นไม้รังหรือสาละ แห่งลุมพินีวัน
เป็นธรรมดาแห่งองค์พระโพธิสัตว์ เมื่อประสูติแล้วจักสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ เมื่อประสูติแล้วพระราชกุมารทรงพระดำเนินไป ๗ ก้าว และทรงเปล่งอาสภิวาจา คือ ประกาศพระองค์เป็นเอกในโลกว่า
“อัคโคหะ มัสมิ โลกัสสะ เชฎโฐ เสฏโฐหะมัสมิ
อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว”
อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว”
แปลว่า “ในโลกนี้เราเป็นหนึ่ง เราเป็นยอด เราเป็นเลิศประเสริฐที่สุด
การเกิดครั้งนี้ของเรา เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มีสำหรับเรา”
การเกิดครั้งนี้ของเรา เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มีสำหรับเรา”
เมื่อพระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา ได้เสด็จออกผนวช ทรงศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส กามลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่ไม่ทรงค้นพบธรรมที่พระองค์ทรงแสวงหา จึงได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ทรมานพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงบรรลุธรรม จึงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม จนกระทั่งในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ทรงเอาชนะมาร คือ กิเลสที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์ จึงทรงหักห้ามพระทัยเอาชนะมารเหล่านั้น ทรงระลึกถึงพระบารมี ๑๐ ทัศ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ที่ทรงบำเพ็ญมา และต่อมาทรงบรรลุญาณต่างๆ ได้แก่
ปฐมยาม ทรงบรรุลปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติได้ ทำให้ทรงหยั่งรู้ว่าขันธ์ (รูป-นาม) เป็นเพียงสภาวะอย่างหนึ่งเท่านั้นที่รวมกันเข้าเป็นขันธ์ จึงเป็นผลทำให้ทรงกำจัดความหลงใหลในขันธ์ (นาม-รูป) อันเป็นเหตุรักและชังเสียได้
มัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพพจักขุญาณ) ทรงมองเห็นการเกิดและดับของขันธ์ของสรรพสัตว์ได้ และทำให้ทราบว่าขันธ์ (รูป-นาม) มีการเกิดขึ้น แปรปรวน และดับไปเหมือนกันหมด จะมีเลว ดี สุข ทุกข์ ก็เพราะกรรมที่ทำเอาไว้ เป็นผลให้ทรงกำจัดความหลงใหลในคติแห่งขันธ์ อันเป็นเหตุให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นเสียได้
ปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ปัญญารู้เหตุสิ้นไปแห่งอาสวะ เครื่องเศร้าหมองที่หมักหมมอยู่ในสันดาน เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้ขันธ์ พร้อมทั้งอาการโดยความเป็นเหตุ เป็นผลสืบต่อเนื่องติดต่อกันไป เหมือนลูกโซ่ซึ่งคล้องกันเกี่ยวกันเป็นสาย ที่เรียกว่า อิทัปปัจตาปฏิจจสมุปบาท และทรงเข้าใจในอริยสัจ ๔ ประการ จึงถือว่าทรงตรัสรู้โดยพระองค์เอง ทรงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงเผยแพร่ธรรมแก่สัตว์โลกเป็นเวลา ๔๕ พรรษา จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน และทรงมีพระพุทธปัจฉิมโอวาทว่า
“หันทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ”
แปลว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งปวงล้วนมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผ็อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญเดือน ๖ ณ ตำบลสาลวโนทยาน นครกุสินารา รัฐมัลละ