Monday, June 4, 2007

ขันติและโสรัจจะ : ธรรมะที่นักการเมืองยามนี้พึงปฏิบัติ

ขันติและโสรัจจะ : ธรรมะที่นักการเมืองยามนี้พึงปฏิบัติ


สามารถ มังสัง ผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2550

“ธรรมะอันทำให้งามสองประการ คือ ขันติ อันได้แก่ ความอดทน และโสรัจจะ อันได้แก่ ความเสงี่ยมเจียมตน” นี่คือพุทธพจน์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกหมวดอังคุตตรนิกายทุกนิบาต


โดยนัยแห่งธรรมะสองประการนี้ หมายถึงว่าผู้ใดมีไว้ในตน คือ จำได้ใช้เป็นก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นเป็นคนมีจิตใจงาม เป็นที่เคารพนับถือของผู้ที่ได้พบเห็น และได้คบค้าสมาคมด้วย


เริ่มด้วยขันติ คือ ความอดทนต่ออนิฏฐารมณ์ หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจซึ่งผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ หรือที่เรียกเป็นภาษาธรรมะว่า อายตนะภายใน 6 ประการ


แต่ความอดทนที่น่าจะเข้าข่ายของคำว่า ขันติ ก็คือความอดทนเนื่องจากรู้เท่าทันแห่งอารมณ์ และหักห้ามใจไม่ตอบโต้ด้วยอากัปกิริยาใดๆ อันมีพื้นฐานมาจากความแค้น และมีการให้อภัยต่อผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งอนิฏฐารมณ์นั้น


ดังนั้น การที่ผู้ใหญ่ด้วยวัยหรือผู้ใหญ่ด้วยตำแหน่งที่เหนือกว่าผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งอนิฏฐารมณ์ อดทนได้ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นขันติในข้อนี้


แต่การที่ผู้ซึ่งมีอายุน้อยกว่า และผู้ที่มีตำแหน่งด้อยกว่า อดทนต่ออนิฏฐารมณ์ที่ผู้แก่กว่าหรืออายุน้อยแต่ตำแหน่งสูงกว่า จึงไม่น่าจะเรียกว่า ขันติ เพราะการที่อดทนได้นั้นด้วยเกิดจากความกลัวหรือยำเกรง มากกว่าที่จะเกิดจากการรู้เท่าทัน และการให้อภัย


ส่วนโสรัจจะ ความเสงี่ยมเจียมตนนั้นมีอยู่ในบุคคลใด ไม่ว่าเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่จะทำให้ผู้นั้นเป็นที่รักเป็นที่พอใจของทุกคนโดยไม่คำนึงถึงเพศและวัย ซึ่งมีอยู่ในบุคคลผู้มากด้วยอายุ และมากด้วยยศศักดิ์ด้วยแล้วจะยิ่งทำให้บุคคลนั้นเป็นบุคคลน่ารัก น่านับถือเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยที่นิยมบุคคลผู้อ่อนน้อมถ่อมตนว่าเป็นคนมีวัฒนธรรมด้วยแล้ว ยิ่งมีความจำเป็นที่คนไทยทุกคนต้องมี

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000064415

No comments: