พรปีใหม่ 2553 โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของสังคมไทย
สังคมไทยป่วยด้วยโรค ′การเมืองวิกฤต เศรษฐกิจวิกล คนวิวาท ชาติวิโยค′ มาหลายปี การจะหายจากโรคนี้ได้ คนไทยต้องร่วมกันสร้าง ′พลัง′ แห่งธรรมะ 4 ประการขึ้นมาในใจของแต่ละคน ธรรมะที่จะทำให้สังคมไทยมีพลังทั้ง 4 ประการคือ
1) พลังปัญญา = ลดการใช้ความรู้สึกลง เพิ่มการใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2) พลังความเพียร = ลดการพึ่งไสยศาสตร์ลง พึ่งตนเองให้มากขึ้น
3) พลังความสุจริต = ลดการทุจริตลง เพิ่มความซื่อสัตย์โปร่งใสให้มากขึ้น
4) พลังความสามัคคี = ลดการขัดแย้งลง เพิ่มความสามัคคีให้มากขึ้น
ขอความสวัสดีจงมีแก่สรรพชีพ สรรพสัตว์ ในที่ทุกสถานในการทุกเมื่อเทอญ
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
สถาบันการศึกษา วิจัย ภาวนา เพื่อสันติภาพโลก
Tuesday, December 22, 2009
Monday, December 14, 2009
วิธีปฎิบัติธรรมที่จะช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง และช่วยคลายทุกข์ต่าง ๆ ได้ด้วย
วิธีปฎิบัติธรรมที่จะช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง และช่วยคลายทุกข์ต่าง ๆ ได้ด้วย
ใน เบื้องต้นให้ฝึกจิตให้อยู่กับกับสมาธิหรือบทสวดมนต์ วันหนึ่งๆลองฝึกนั่งสวดมนต์ดู สวดบทไหนก็ได้ ไม่ต้องสวดบทยาวมากก็ได้ ให้สวดซ้ำๆบ่อยๆไปเรื่อยๆ เวลามีเวลาว่างไม่จำเป็นต้องใช้ใจคิดในเรื่องราวต่างๆ แทนที่จะปล่อยให้คิดไปเรื่อยเปื่อย ลองนำมาให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ด้วยการให้อยู่กับบทสวดมนต์ หรือจะให้อยู่กับคำบริกรรมคำใดคำหนึ่งก็ได้ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น ถ้าไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอะไร อย่าไปคิด ให้สงวนความคิดไว้ ประหยัดความคิด คิดในสิ่งที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปคิด ปล่อยให้เรื่องราวต่างๆในโลกนี้เขาเป็นไปตามเรื่องของเขาเถิด ไปคิดมากก็ทำให้ฟุ้งซ่าน กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะคิดไม่เป็น คิดไม่ถูกนั่นเอง ถ้าควบคุมใจได้แล้ว ต่อไปก็จะสามารถควบคุมบังคับให้คิดในเรื่องต่างๆที่ต้องการให้คิดได้ เรื่องที่ไม่ต้องการให้คิดก็สามารถระงับดับได้ ใจเราสามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ ถ้ารู้จักหยุดใจ แต่ถ้าไม่รู้จัก ก็จะไม่สามารถควบคุมใจได้ เช่นเวลามีความโกรธ เราก็รู้ว่าไม่ดี เพราะเวลาโกรธ ใครจะทุกข์ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง แต่ก็หยุดใจไม่ให้โกรธไม่ได้ เวลาเกิดความโลภ ก็รู้ว่าสิ่งที่ต้องการนั้น ไม่มีความจำเป็นเลย แต่ก็หักห้ามใจไม่ได้ เพราะไม่รู้จักวิธีหยุดใจ ไม่รู้จักควบคุมใจนั่นเอง
พระพุทธศาสนาจึงสอนให้ควบคุมใจเป็นสำคัญ ในเบื้องต้นก็ให้ควบคุมการกระทำทางกายทางวาจาก่อน เพราะการกระทำทางกาย และการกระทำทางวาจา ก็ออกมาจากใจ ใจเป็นผู้สั่ง เวลาจะลุกขึ้นใจก็ต้องสั่งให้ลุกขึ้น ถึงจะลุกขึ้นได้ เวลาจะพูดอะไร ใจก็ต้องคิดเสียก่อน ถึงจะพูดออกมาได้ ต้องตั้งกรอบไว้ ตั้งรั้วไว้ ไม่ให้การกระทำทางกาย ทางวาจา เกิดโทษขึ้นมา ในเบื้องต้นจึงต้องตั้งกรอบไว้ว่า ใจอยากจะทำอะไรก็ได้ อยากจะมีอะไรก็ได้ แต่ขอให้ทำ ขอให้หามา ในกรอบของความถูกต้อง
เมื่อควบคุมการกระทำทางกายทางวาจาได้แล้ว ในลำดับต่อไปก็ให้มาควบคุมความคิดของเรา เคยคิดหรือไม่ว่ามีเรื่องบางเรื่องเราไม่อยากจะคิดเลย เพราะคิดไปทีไรก็มีแต่ความเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ ไม่รู้จักวิธีหยุดความคิดของใจเรานั่นเอง แต่ถ้าได้ฝึกทำสมาธิ กำหนดใจให้อยู่กับบทสวดมนต์ก็ดี บทบริกรรมก็ดี ถ้าทำได้แล้ว ต่อไปสมมุติว่า ใจไปคิดถึงเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง แล้วทำให้เกิดความว้าวุ่น ขุ่นมัว ขึ้นมา ก็หยุดได้ด้วยการหันมาระลึกถึงบทสวดมนต์ หรือบทบริกรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอแล้ว เดี๋ยวก็ลืมแล้วเรื่องต่างๆ เรื่องที่คิดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น ไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าได้เคยฝึกทำสมาธิอยู่ตลอดเวลาแล้ว ต่อไปเวลามีเรื่องอะไรมาสร้างความไม่สบายอกไม่สบายใจ ก็สามารถลืมได้ด้วยการทำสมาธิสวดมนต์ หรือบริกรรม นั่นเอง
ใจก็ เป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่เรามักชอบเอาไฟเข้ามาเผาตัวเรา เพราะเวลาไปเห็นอะไรที่ไม่ชอบ ได้ยินอะไรที่ไม่ชอบ แทนที่จะลืมมัน ทั้งๆที่มันก็ผ่านไปแล้ว กลับลืมมันไม่ได้ เพราะใจมีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เวลาไปติดกับอะไรแล้ว ก็ติดหนึบเลย ถอนออกมาดึงออกมาไม่ออก เพราะความเหนียวแน่นของอุปาทานนี่เอง นี่เป็นปัญหาของชีวิตของพวกเรา แต่โชคดีที่ได้มาเจอพระพุทธศาสนา ที่สอนวิธีการถอดถอนอุปาทานทั้งหลายด้วยการฝึกจิต สอนให้รู้จักควบคุมบังคับจิตใจ เวลาจิตไปติด ไปผูกพันกับเรื่องอะไรที่สร้างความว้าวุ่นขุ่นมัว สร้างความทุกข์ขึ้นมา ก็ให้เบนความสนใจออกจากเรื่องนั้นเสีย ให้กลับมาอยู่กับงานที่เคยสอนให้จิตทำ ถ้าชำนาญกับการไหว้พระสวดมนต์ ก็สวดไป จนจิตสงบ เมื่อสงบแล้ว ก็จะสบาย จึงควรให้ความสำคัญกับใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนเรื่องอะไร ก็สอนแต่เรื่องของเราทั้งสิ้น เรื่องความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดีนั้น อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ใจเป็นหลัก ใจเป็นตัวสำคัญที่สุด เป็นทั้งต้นเหตุและเป็นผู้รับผล ต้นเหตุก็คือความคิดต่างๆ ที่มีทั้งกุศลและอกุศล คือคิดดีก็มี คิดร้ายก็มี เมื่อคิดไปแล้วผลก็จะเกิดขึ้นในใจทันที คือความสุขและความทุกข์ เวลาคิดดี ใจก็มีความสุข เวลาคิดร้าย ใจก็มีความทุกข์ จึงควรให้ความสนใจกับใจมากกว่าสิ่งอื่นใด เวลาเห็นอะไรควรย้อนกลับมาดูที่ใจ ว่ามีปฏิกิริยากับสิ่งที่เห็นอย่างไร พอใจหรือไม่พอใจ ความพอใจและความไม่พอใจเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตเกิดกุศลและอกุศลขึ้นมา สิ่งที่พอใจก็จะคิดดีกับสิ่งนั้นๆ ใจก็มีความสุข
สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งภายนอกก็คือสิ่งที่อยู่ภายใน คือความรู้สึกภายในใจ ว่าขณะนี้กำลังเป็นฟืนเป็นไฟ หรือยังเย็นยังสงบอยู่ เวลามีคนมาสร้างความไม่พอใจให้กับเรา ถ้ามีสติ แทนที่จะโกรธเขา กลับทำใจให้สงบ เพราะรู้ว่าความไม่พอใจที่ทำให้เกิดความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นพิษเป็นภัยกับใจ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เขาจะทำอะไรอย่างไร เราไปควบคุมบังคับ ไปห้ามเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่เราห้ามได้คือใจของเรา ถ้าใจไม่ไปสนใจ ไม่ไปแยแส เขาจะทำอย่างไรก็ไม่มีปัญหาอะไร ใจของเราก็จะสงบนิ่ง ที่เกิดปัญหาเพราะเราไปมีความหวัง มีความต้องการจากเขานั่นเอง เช่นต้องการให้เขาทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ แล้วเขาไม่ตอบสนองทำตามที่เราต้องการ เราก็เกิดความผิดหวัง เมื่อเกิดความผิดหวังก็เกิดความไม่พอใจ เกิดความเสียใจขึ้นมา อย่างนี้เป็นความคิดที่ไม่ดี เป็นความคิดที่สร้างความทุกข์ให้กับเรา ทางที่ดีอย่าไปหวังอะไรจากผู้อื่น พยายามทำในสิ่งที่เราทำได้ หวังในสิ่งที่เราทำได้ ยึดตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นหลัก
ความอยากนี้ มีทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น ควรใช้ปัญญาแยกแยะ สิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ ต่อการบำรุงสุขดับทุกข์ในใจของเรา ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ก็ควรหามา สิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพหรือต่อการดับทุกข์ในใจของเรา ไม่มีสิ่งนั้นก็ไม่เป็นปัญหาอะไร นี่คือการใช้ปัญญาในการดำรงชีวิต
ในขณะที่เกิดความอยากต่างๆขึ้นมา ให้ใช้ปัญญาแยกแยะ ดูว่าจำเป็นต้องมีหรือไม่ จำเป็นต้องทำหรือไม่ ถ้าไม่จำเป็นต้องมี ไม่จำเป็นต้องทำ ก็อย่าไปมี อย่าไปทำจะดีกว่า เพราะการแสวงหาสิ่งต่างๆนั้น เป็นความลำบาก ต้องต่อสู้ หาเงินหาทอง ทำงานทำการ เหนื่อยยากลำบากลำบน สิ่งที่ได้มาก็ไม่มีคุณค่าอะไรกับจิตใจ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง ความสุขต่างๆที่แสวงหาจากวัตถุต่างๆ จากการกระทำต่างๆ ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น เพราะหามาได้มากน้อยเพียงไร ก็ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอสักที ต้องหามาใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงนั่นเอง ถ้าต้องการความสุขที่แท้จริง ก็ต้องเข้าหาพระศาสนา เพราะมีบุคคลที่ได้พบความสุขที่แท้จริง แล้วนำมาเผยแผ่ให้พวกเราทราบ บุคคลนั้นก็คือพระพุทธเจ้าของเรานี่เอง ท่านเป็นบุคคลแรกในโลกนี้ ที่ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริง ว่าอยู่ในใจของเรา อยู่ในใจที่สงบ อยู่ในใจที่ชนะความอยากต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามให้อยากในเรื่องปัจจัย ๔ เช่นต้องการเสื้อผ้าใส่ เพราะเสื้อผ้าเก่าที่มีอยู่นั้นมันขาด หรือตัวเล็กไป ใส่ไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องมีใหม่ ก็ต้องหามา อาหารก็ต้องหามารับประทาน บ้านก็ต้องมีอยู่ ยาก็ต้องมีไว้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ จึงต้องมีสิ่งเหล่านี้
เพราะ ความอยากความต้องการนั้น ไม่ได้ดับด้วยการแสวงหา แต่ดับด้วยการต่อสู้ความอยากต่างๆ ดับด้วยการฝึกฝนอบรมจิตใจตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงฝึกฝนอบรมมา ต้องลดละความต้องการ ความอยากในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ อยู่แบบสมถะ เรียบง่าย เอาเท่าที่จำเป็นก็พอ ฝึกฝนทำจิตใจให้สงบด้วยการควบคุมดูแลจิตใจด้วยสติ อย่าปล่อยให้จิตคิดไปตามอำนาจความหลงความต้องการต่างๆ คอยควบคุมจิตให้อยู่ในคำสั่งของเรา เท่านี้คุณก็จะมีจิตใจที่เข้มแข็ง ความทุกข์ต่าง ๆ ก็จะไม่มารบกวนคุณ สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้อย่างรวดเร็วและปฏิบัติกิจต่างๆได้เป็นอย่างดี
อตฺตานญฺ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม
สอนคนอื่นอย่างใด ควรทำตนอย่างนั้น
ฝึกตนเองแล้วค่อยฝึกคนอื่น เพราะตัวเราเองฝึกยากยิ่งนัก
การจะมีจิคใจที่เข้มแข็ง ล่วงทุกข์ได้ ก็ต้องใช้ความเพียรพยายาม ผมว่าคุณทำได้ครับ เจริญในธรรมครับ
ที่มา : http://dhammathai.org/webboard/view.php?No=5393
Saturday, December 12, 2009
"ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิต พรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง ซึ่งปราถนาดีมุ่งหมายให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความสวัสดีด้วยประการต่างๆ ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงไปได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้ผิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น
จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน หมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วทำตั้งจิต ตั้งใจ ให้เที่ยงตรงหนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง อันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญ มั่นคง ยั่งยืนไป
ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลให้สัมฤทธิผลขึ้นแก่ท่าน ทั่วหน้ากัน"
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
5 ธันวาคม 2552
ในพระราชพิธีออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
Wednesday, December 2, 2009
ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย รวมทั้งพระะบรมเดชานุภาพขององค์สมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ เทวานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลพิภพ โปรดอภิบาลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงมีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ปราศจากพระโรคาพาธทั้งปวง ทรงเจริญพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน สถิตย์เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยสืบต่อไปชั่วกาลนานเทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
63 ปี "พระเจ้าอยู่หัว" ผู้นำที่ไม่เหมือนใครในโลก นำพาประเทศ "อยู่ดีมีสุข"
63 ปี "พระเจ้าอยู่หัว" ผู้นำที่ไม่เหมือนใครในโลก นำพาประเทศ "อยู่ดีมีสุข"
โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ใน ช่วง 63 ปี ระหว่าง พ.ศ.2489-2552 ประเทศไทยมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัว จากประมาณ 17 ล้านคน เมื่อ พ.ศ.2489 มาเป็นประมาณ 63 ล้านคน ในพ.ศ.2551
ทั้งนี้ โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแนวโน้มเปลี่ยนจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมืองอย่างต่อ เนื่อง
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของไทยที่เคยพึ่งพิงการผลิตในภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก มีการปรับโครงสร้างเป็นภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น หลังจากดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504-2509) เป็นต้นมา ซึ่งสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสินค้าที่มีทักษะการผลิตสูง และมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทั้งด้านการส่งออกและการผลิต
ทั้ง นี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ ราคาปีฐาน พ.ศ.2531 (GDP) ของประเทศไทยมีการขยายตัวสูง เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.33 แสนล้านบาท เมื่อ พ.ศ.2494 เป็นประมาณ 4.26 ล้านบาท ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบ 32 เท่า (เป็นการขยายตัวที่คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อแล้ว)
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศต่อหัว ณ ราคาปีฐาน พ.ศ.2531 ของประเทศไทย เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยเพิ่มจาก 6,594 บาทต่อคนต่อปี เมื่อ พ.ศ.2494 เป็น 64,500 บาทต่อคนต่อปี ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
ขณะ เดียวกันก็พบว่าประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนมีจำนวนลดลงโดยลำดับ กล่าวคือ ลดลงจากประมาณ 23.78 ล้านคน เมื่อ พ.ศ.2529 เหลือเพียง 5.36 ล้านคน ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 44.90 เป็นร้อยละ 8.50 ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือลดลงในสัดส่วนมากกว่า 5 เท่า
ทั้งนี้ หากวัดกันตามมาตรฐานการพัฒนาที่ใช้โดยทั่วไปแล้ว ประเทศไทยถือว่ามีความสำเร็จเป็นอย่างสูง
อย่าง ไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม จะพบว่ามี ความไม่สมดุล เกิดขึ้นในหลายมิติ
ที่สำคัญ ได้แก่ 1.ความไม่สมดุลด้านการกระจายรายได้ ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นระยะเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้มีแนวโน้มที่กลับจะเพิ่มขึ้น ดังเห็นจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงหรือกลุ่มคนรวยที่สุด 20% แรก มีสัดส่วนของรายได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 เหลือเพียงร้อยละ 4.4 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกลุ่มอาชีพที่ยากจนที่สุดเป็นกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
2. ความไม่สมดุลในการใช้และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตในอัตราสูง ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่คำนึงถึงขีดจำกัดเท่าที่ควร และยังทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์มีแนวโน้มร่อยหรอ และเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว
การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ก่อให้เกิดปัญหามลพิษในด้านต่างๆ เช่น น้ำเน่าเสีย อากาศเสีย กากของเสีย เสียงรบกวน และสารอันตรายที่มีปริมาณมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนมากขึ้นตามลำดับ
3.ความ ไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองและชนบท กรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงมีฐานเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโตที่รวด เร็วกว่าภาคอื่นๆ เช่น ใน พ.ศ.2532 มูลค่าของผลผลิตรวมของกรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 42 ของผลผลิตรวมของประเทศ ในขณะที่ภาคอื่นๆ มีสัดส่วนลดลงตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
4.ปัญหาค่านิยมและ ศีลธรรมที่เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศจากเศรษฐกิจการเกษตรมาสู่ เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นเหตุให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทมาสู่ความเป็นสังคมเมืองอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้วิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบไทยดั้งเดิมต้องปรับเปลี่ยนเป็นการดำเนิน ชีวิตในรูปแบบสมัยใหม่ ที่เร่งรีบเผชิญภาวะการแข่งขัน และมีความกดดันสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยส่วนรวม
นอกจากนี้ โลกาภิวัตน์ยังก่อให้เกิดกระแสวัตถุนิยม ซึ่งการไร้ภูมิต้านทานที่ดีพอทำให้สังคมไทยมีค่านิยมบริโภคเกินความจำเป็น ทั้งหมดนี้ทำให้ปัญหาต่างๆ เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด ปัญหาหนี้สินและปัญหาคอร์รัปชั่น มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงมีบทบาทที่สำคัญ คือ "พระราชทานคำปรึกษา" "ทรงสนับสนุน" และ "ทรงตักเตือน"
พระ ราชทานคำแนะนำ ทรงเตือนสติ ผ่านพระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทในวาระโอกาสสำคัญแก่ผู้บริหารประเทศและประชาชนชาวไทยทุกคน ถึงการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ๆ ตลอดจนแนวทางแก้ปัญหาเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตเหล่านั้น และแนวทางการพัฒนาเพื่อให้เกิดความอยู่ดีกินดีของประชาชน
ดังเช่น พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ที่แสดงให้เห็นถึงแนวพระราชดำริในการเพิ่มความสมดุลในการพัฒนาประเทศและ ประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งมีว่า- -
จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
" การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลา นี้..."
หรือ...
"การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบ อาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้โดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นไปตามลำดับ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาด ล้มเหลว และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์ เพราะหากไม่กระทำด้วยความระมัดระวัง ย่อมจะหวังผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้โดยยาก..."
และ...ที่พระราชทานอีกว่า...
" ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ ว่าการจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน...แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง..."
"เศรษฐกิจพอเพียงเป็น เสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือน ตัวอาคาร ไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป..."
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนล่วงหน้าถึงความไม่สมดุลของโครงสร้างทาง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่จะนำมาซึ่งปัญหาแก่ประชาชนและประเทศชาติ
พระ ราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาข้างต้น มิได้เป็นเพียงแนวคิด แต่พระองค์ได้ทรงนำมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมผ่านทางโครงการพัฒนานับพัน โครงการ โดยการเสด็จพระราชดำเนินไปยังภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรสภาพความเป็นจริง เกิดเป็นแนวพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สมดุลเหล่า นั้น
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่ทรงคิดค้นขึ้นเพื่อลดความไม่สมดุลในสังคมไทยมายาวนานและต่อเนื่องกว่า 60 ปีนั้น ในปัจจุบันมีมากถึง 4,404 โครงการ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมีลักษณะร่วมที่สำคัญ คือ แก้ปัญหาให้แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ แก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะที่ แก้ปัญหาทุกข์ภัยที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" จำนวน 6 ศูนย์ทั่วประเทศ อันเป็นตัวแทนของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาดูงานของราษฎรที่มีความสนใจศึกษา และนำความรู้ไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพของตน เสมือน "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" ในลักษณะการให้บริการอย่างรวมศูนย์ครบวงจร ซึ่งเน้นการเผยแพร่องค์ความรู้ให้ประชาชนนำไปปฏิบัติเองได้ เป็นการวางรากฐานให้สังคมไทยพึ่งพาตัวเอง และอยู่อย่างยั่งยืน
ศูนย์ ทั้ง 6 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ อ.เมือง จ.สกลนคร, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริ จาก 4,000 กว่าโครงการ คือตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมชัดแจ้งที่แสดงให้เห็น ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "นักปรัชญา" จากการที่พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทรงเป็น "นักวิทยาศาสตร์" จากการที่ทรงค้นคว้า ทดลองแนวทางแก้ปัญหาจนเมื่อเกิดผลสำเร็จได้อย่างแน่ชัด จึงพระราชทานแนวพระราชดำริดังกล่าวต่อไป
ทรงเป็น "นักเผยแพร่" ทรงสนับสนุนให้เกิดโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ และทรงเป็น "ผู้นำ" ที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานราชการที่เกี่ยว ข้อง สมดังที่ทรงได้รับการสดุดีพระเกียรติคุณจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่ว่า- -
"พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักเผยแพร่แนวคิดและนักปฏิบัติ ที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ทรงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของผู้นำที่อาจไม่เหมือนใครในโลก แต่สิ่งที่โลกสามารถเรียนรู้ได้จากพระองค์ คือ ความรักและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการทำทุกอย่าง เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรของพระองค์"
หน้า 20
วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11588 มติชนรายวัน
โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ใน ช่วง 63 ปี ระหว่าง พ.ศ.2489-2552 ประเทศไทยมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัว จากประมาณ 17 ล้านคน เมื่อ พ.ศ.2489 มาเป็นประมาณ 63 ล้านคน ในพ.ศ.2551
ทั้งนี้ โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแนวโน้มเปลี่ยนจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมืองอย่างต่อ เนื่อง
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของไทยที่เคยพึ่งพิงการผลิตในภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก มีการปรับโครงสร้างเป็นภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น หลังจากดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504-2509) เป็นต้นมา ซึ่งสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสินค้าที่มีทักษะการผลิตสูง และมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทั้งด้านการส่งออกและการผลิต
ทั้ง นี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ ราคาปีฐาน พ.ศ.2531 (GDP) ของประเทศไทยมีการขยายตัวสูง เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.33 แสนล้านบาท เมื่อ พ.ศ.2494 เป็นประมาณ 4.26 ล้านบาท ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบ 32 เท่า (เป็นการขยายตัวที่คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อแล้ว)
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศต่อหัว ณ ราคาปีฐาน พ.ศ.2531 ของประเทศไทย เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยเพิ่มจาก 6,594 บาทต่อคนต่อปี เมื่อ พ.ศ.2494 เป็น 64,500 บาทต่อคนต่อปี ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
ขณะ เดียวกันก็พบว่าประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนมีจำนวนลดลงโดยลำดับ กล่าวคือ ลดลงจากประมาณ 23.78 ล้านคน เมื่อ พ.ศ.2529 เหลือเพียง 5.36 ล้านคน ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 44.90 เป็นร้อยละ 8.50 ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือลดลงในสัดส่วนมากกว่า 5 เท่า
ทั้งนี้ หากวัดกันตามมาตรฐานการพัฒนาที่ใช้โดยทั่วไปแล้ว ประเทศไทยถือว่ามีความสำเร็จเป็นอย่างสูง
อย่าง ไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม จะพบว่ามี ความไม่สมดุล เกิดขึ้นในหลายมิติ
ที่สำคัญ ได้แก่ 1.ความไม่สมดุลด้านการกระจายรายได้ ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นระยะเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้มีแนวโน้มที่กลับจะเพิ่มขึ้น ดังเห็นจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงหรือกลุ่มคนรวยที่สุด 20% แรก มีสัดส่วนของรายได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 เหลือเพียงร้อยละ 4.4 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกลุ่มอาชีพที่ยากจนที่สุดเป็นกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
2. ความไม่สมดุลในการใช้และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตในอัตราสูง ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่คำนึงถึงขีดจำกัดเท่าที่ควร และยังทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์มีแนวโน้มร่อยหรอ และเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว
การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ก่อให้เกิดปัญหามลพิษในด้านต่างๆ เช่น น้ำเน่าเสีย อากาศเสีย กากของเสีย เสียงรบกวน และสารอันตรายที่มีปริมาณมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนมากขึ้นตามลำดับ
3.ความ ไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองและชนบท กรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงมีฐานเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโตที่รวด เร็วกว่าภาคอื่นๆ เช่น ใน พ.ศ.2532 มูลค่าของผลผลิตรวมของกรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 42 ของผลผลิตรวมของประเทศ ในขณะที่ภาคอื่นๆ มีสัดส่วนลดลงตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
4.ปัญหาค่านิยมและ ศีลธรรมที่เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศจากเศรษฐกิจการเกษตรมาสู่ เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นเหตุให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทมาสู่ความเป็นสังคมเมืองอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้วิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบไทยดั้งเดิมต้องปรับเปลี่ยนเป็นการดำเนิน ชีวิตในรูปแบบสมัยใหม่ ที่เร่งรีบเผชิญภาวะการแข่งขัน และมีความกดดันสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยส่วนรวม
นอกจากนี้ โลกาภิวัตน์ยังก่อให้เกิดกระแสวัตถุนิยม ซึ่งการไร้ภูมิต้านทานที่ดีพอทำให้สังคมไทยมีค่านิยมบริโภคเกินความจำเป็น ทั้งหมดนี้ทำให้ปัญหาต่างๆ เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด ปัญหาหนี้สินและปัญหาคอร์รัปชั่น มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงมีบทบาทที่สำคัญ คือ "พระราชทานคำปรึกษา" "ทรงสนับสนุน" และ "ทรงตักเตือน"
พระ ราชทานคำแนะนำ ทรงเตือนสติ ผ่านพระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทในวาระโอกาสสำคัญแก่ผู้บริหารประเทศและประชาชนชาวไทยทุกคน ถึงการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ๆ ตลอดจนแนวทางแก้ปัญหาเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตเหล่านั้น และแนวทางการพัฒนาเพื่อให้เกิดความอยู่ดีกินดีของประชาชน
ดังเช่น พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ที่แสดงให้เห็นถึงแนวพระราชดำริในการเพิ่มความสมดุลในการพัฒนาประเทศและ ประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งมีว่า- -
จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
" การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลา นี้..."
หรือ...
"การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบ อาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้โดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นไปตามลำดับ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาด ล้มเหลว และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์ เพราะหากไม่กระทำด้วยความระมัดระวัง ย่อมจะหวังผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้โดยยาก..."
และ...ที่พระราชทานอีกว่า...
" ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ ว่าการจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน...แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง..."
"เศรษฐกิจพอเพียงเป็น เสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือน ตัวอาคาร ไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป..."
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนล่วงหน้าถึงความไม่สมดุลของโครงสร้างทาง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่จะนำมาซึ่งปัญหาแก่ประชาชนและประเทศชาติ
พระ ราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาข้างต้น มิได้เป็นเพียงแนวคิด แต่พระองค์ได้ทรงนำมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมผ่านทางโครงการพัฒนานับพัน โครงการ โดยการเสด็จพระราชดำเนินไปยังภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรสภาพความเป็นจริง เกิดเป็นแนวพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สมดุลเหล่า นั้น
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่ทรงคิดค้นขึ้นเพื่อลดความไม่สมดุลในสังคมไทยมายาวนานและต่อเนื่องกว่า 60 ปีนั้น ในปัจจุบันมีมากถึง 4,404 โครงการ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมีลักษณะร่วมที่สำคัญ คือ แก้ปัญหาให้แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ แก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะที่ แก้ปัญหาทุกข์ภัยที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" จำนวน 6 ศูนย์ทั่วประเทศ อันเป็นตัวแทนของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาดูงานของราษฎรที่มีความสนใจศึกษา และนำความรู้ไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพของตน เสมือน "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" ในลักษณะการให้บริการอย่างรวมศูนย์ครบวงจร ซึ่งเน้นการเผยแพร่องค์ความรู้ให้ประชาชนนำไปปฏิบัติเองได้ เป็นการวางรากฐานให้สังคมไทยพึ่งพาตัวเอง และอยู่อย่างยั่งยืน
ศูนย์ ทั้ง 6 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ อ.เมือง จ.สกลนคร, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริ จาก 4,000 กว่าโครงการ คือตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมชัดแจ้งที่แสดงให้เห็น ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "นักปรัชญา" จากการที่พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทรงเป็น "นักวิทยาศาสตร์" จากการที่ทรงค้นคว้า ทดลองแนวทางแก้ปัญหาจนเมื่อเกิดผลสำเร็จได้อย่างแน่ชัด จึงพระราชทานแนวพระราชดำริดังกล่าวต่อไป
ทรงเป็น "นักเผยแพร่" ทรงสนับสนุนให้เกิดโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ และทรงเป็น "ผู้นำ" ที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานราชการที่เกี่ยว ข้อง สมดังที่ทรงได้รับการสดุดีพระเกียรติคุณจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่ว่า- -
"พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักเผยแพร่แนวคิดและนักปฏิบัติ ที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ทรงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของผู้นำที่อาจไม่เหมือนใครในโลก แต่สิ่งที่โลกสามารถเรียนรู้ได้จากพระองค์ คือ ความรักและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการทำทุกอย่าง เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรของพระองค์"
หน้า 20
วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11588 มติชนรายวัน
Friday, November 27, 2009
สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สังฆราชถวายพระพรในหลวง
เมื่อ วันที่ 26 พฤศจิกายน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระดำรัสถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2552 โดยยกพุทธภาษิตบทหนึ่งมีความว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ" และ "ใจของเรามีค่าสูงสุด ไม่พึงนำไปแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น" ถือเป็นพระพุทธพรที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง นั่นคือผู้ใดปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมได้รับพระพุทธพรจากสมเด็จพระบรมศาสดา จะเกิดผลเลิศล้ำที่สุดแก่ผู้เข้าใจ และมุ่งมั่นปฏิบัติรักษาใจของตนให้ดีที่สุด ให้พ้นจากความคิดไม่ดีทั้งปวง เพื่อผลดีจะเกิดแก่ตน เพื่อผลไม่ดีจะไม่เกิดแก่ตน ความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย เช่น คิดมุ่งร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด ผลไม่ดีอาจไม่เกิดแก่ผู้ถูกมุ่งร้ายได้ แต่ผลไม่ดีต้องเกิดแน่นอนแก่ผู้มีใจคิดมุ่งร้าย
"พระพุทธพรบทนี้ สำคัญที่สุด จะเกิดผลเลิศล้ำที่สุด แก่ผู้มุ่งมั่นปฏิบัติรักษาใจของตนให้ดีที่สุด ให้พ้นจากความคิดไม่ดีทั้งปวง เพราะความคิดไม่ดีของตนเองจะเกิดผลแก่ตนเองแน่นอนเสมอไป นอบน้อมอัญเชิญพระพรนี้มาในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ด้วยมุ่งมั่นขอรับพระราชทานเป็นพระพรชัยมงคลจากสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร เจ้า แก่พสกนิกรไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วหน้า เพื่อให้ความดีในจิตใจมากหลาย อันเกิดจากได้รับพระราชทานพระพุทธพรนี้ มีพลังพิชิตความร้อนแรงแห่งกิเลส ที่รุนแรงหนักหนาขึ้นทุกที ย่อมจะยังพระราชหฤทัยให้ไกลความเศร้าหมองน้อยใหญ่ได้"
เมื่อ วันที่ 26 พฤศจิกายน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระดำรัสถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2552 โดยยกพุทธภาษิตบทหนึ่งมีความว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ" และ "ใจของเรามีค่าสูงสุด ไม่พึงนำไปแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น" ถือเป็นพระพุทธพรที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง นั่นคือผู้ใดปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมได้รับพระพุทธพรจากสมเด็จพระบรมศาสดา จะเกิดผลเลิศล้ำที่สุดแก่ผู้เข้าใจ และมุ่งมั่นปฏิบัติรักษาใจของตนให้ดีที่สุด ให้พ้นจากความคิดไม่ดีทั้งปวง เพื่อผลดีจะเกิดแก่ตน เพื่อผลไม่ดีจะไม่เกิดแก่ตน ความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย เช่น คิดมุ่งร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด ผลไม่ดีอาจไม่เกิดแก่ผู้ถูกมุ่งร้ายได้ แต่ผลไม่ดีต้องเกิดแน่นอนแก่ผู้มีใจคิดมุ่งร้าย
"พระพุทธพรบทนี้ สำคัญที่สุด จะเกิดผลเลิศล้ำที่สุด แก่ผู้มุ่งมั่นปฏิบัติรักษาใจของตนให้ดีที่สุด ให้พ้นจากความคิดไม่ดีทั้งปวง เพราะความคิดไม่ดีของตนเองจะเกิดผลแก่ตนเองแน่นอนเสมอไป นอบน้อมอัญเชิญพระพรนี้มาในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ด้วยมุ่งมั่นขอรับพระราชทานเป็นพระพรชัยมงคลจากสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร เจ้า แก่พสกนิกรไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วหน้า เพื่อให้ความดีในจิตใจมากหลาย อันเกิดจากได้รับพระราชทานพระพุทธพรนี้ มีพลังพิชิตความร้อนแรงแห่งกิเลส ที่รุนแรงหนักหนาขึ้นทุกที ย่อมจะยังพระราชหฤทัยให้ไกลความเศร้าหมองน้อยใหญ่ได้"
Wednesday, November 25, 2009
กินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร
ลองอ่านดูนะ มีประโยชน์
1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง
จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ
สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ
สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน
ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )
น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก
และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว)
กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย
ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด
ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ
ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง
กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี
ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม
ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต
ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง
ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้
ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้
พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง
โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ
ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน
ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ
เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา
ค้นคว้า
และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้
ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ
อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี
ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี 'โมโรอันแซตเทอเรต'
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง
คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ
ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ
อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด
เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จ ะรู้ได้
มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน
ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย
บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ
แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
3. มะเร็งรังไข่ อาการ
ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)
อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง
ๆ
ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ
มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ
เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง
ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร
น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัส สาว ะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ
และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า
และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง
หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก
หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
12. มะเร็งทรวงอก
- ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัส สาว
ะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9
ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก
โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์
ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ
ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ
อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้
เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง
อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง
ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา
(Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น
กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด
ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
***ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา
และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธา
และกุศลจิตของท่าน ท่าน และครอบครัวจะประสบแต่ความสุข
1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง
จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ
สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ
สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน
ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )
น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก
และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว)
กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย
ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด
ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ
ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง
กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี
ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม
ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต
ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง
ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้
ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้
พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง
โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ
ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน
ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ
เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา
ค้นคว้า
และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้
ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ
อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี
ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี 'โมโรอันแซตเทอเรต'
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง
คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ
ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ
อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด
เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จ ะรู้ได้
มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน
ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย
บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ
แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
3. มะเร็งรังไข่ อาการ
ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)
อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง
ๆ
ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ
มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ
เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง
ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร
น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัส สาว ะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ
และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า
และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง
หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก
หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
12. มะเร็งทรวงอก
- ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัส สาว
ะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9
ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก
โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์
ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ
ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ
อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้
เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง
อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง
ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา
(Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น
กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด
ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
***ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา
และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธา
และกุศลจิตของท่าน ท่าน และครอบครัวจะประสบแต่ความสุข
บันทึกช่วยจำของเหลียงจี้จาง อ่านเถอะ ดีมาก ๆ
บันทึกช่วยจำของ“เหลียงจี้จาง”
“เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ใน ฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...
ลูกรัก..
ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก
ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี
1. คน ที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป
ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)
2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้
ถ้า เข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง)
หาก ลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน
4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความ รักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..
อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ
5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี
ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง
7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา
เรา ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น
ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (No free lunch)
9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้)
--
“เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ใน ฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...
ลูกรัก..
ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก
ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี
1. คน ที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป
ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)
2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้
ถ้า เข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง)
หาก ลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน
4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความ รักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..
อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ
5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี
ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง
7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา
เรา ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น
ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (No free lunch)
9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้)
--
Thursday, October 15, 2009
ช่องว่างระหว่างวัยในการทำงาน
ช่องว่างระหว่างวัยในการทำงาน
หนึ่งในสาเหตุของความเครียดในที่ทำงาน คือ การที่คนหลายรุ่น หลายวัย หลายความคิด ต้องมาทำงานร่วมกัน ความแตกต่างระหว่างเลขวัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้งในที่สุด บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จ เพียงขอเปิดใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่น ให้ลึกซึ้งก็จะได้พบโลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้อย่างถูกช่องถูกกลุ่มก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ชัด ๆ ก่อน โดยจำแนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น
กลุ่มลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498
ลายคราม...ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือเป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จะมีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย อันเนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ จึงเติบโตมาท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัด ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน มักมีคุณลักษณะที่มั่นคงเชื่อใจได้ สู้งานหนัก ใช้จ่ายอย่างรู้คิด และภักดีต่อองค์กรสูง
กลุ่ม Baby Boom: คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507
หลังสงครามยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อย ๆ ขึ้นมากมาย Baby Boomเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์
ลูกจ้าง Baby Boom มักเคยชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ การจะก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่นั้นต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง
กลุ่ม Generation–X: คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523
Generation–X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกได้สำเร็จ ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และ Walkman พวกเขาเติบโตมาในยุครอยต่อของ Analog กับ Digital อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้ กลับทำให้สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของคนรุ่นนี้จึงคลายลงมาก นำมาสู่การลาออก และเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น
ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่นจะอึ้งที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา หรือลาออกไปหางานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต
กลุ่ม Millennium: คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา
Millennium คือ กลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียนต่อ ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ
ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium ได้เสริมทักษะด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และสนุกกับการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบเงื่อนไข
ในขณะที่ ชาว Generation-X เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อเป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง
สลายช่องว่างสร้างความเข้าใจ
เมื่อเข้าใจอย่างท่องแท้แล้วว่า ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆ ก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากันได้
สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่าระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน
1. เข้าใจถึงความแตกต่าง ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อ หรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป
2. ชื่นชมจุดดี แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ
3. บริหารความแตกต่าง เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย
ทำงานกับกลุ่มลายคราม
จงให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการ เป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขาถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจน ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายครามคือ หมาล่าเนื้อไม่มีที่ไป แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัยเกษียณนั้น เป็นเพราะพวกเขา เชื่อในคุณค่าของความมั่นคง และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด
ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom
จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของ Baby Boom แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใด คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom ให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การ และเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท หากต้องทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom ควรพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมาอย่างไร ก่อนที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่ Baby Boom
ทำงานกับกลุ่ม Generation–X
ต้องพูดให้กระชับ ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม เพราะ Generation–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้ หากคุณสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ควรพูดต่อหน้าเพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้นโยบายกว้าง ๆ เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด
ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X ในการทำงานหนัก อย่างหนักโดยไม่มีวันหยุด หรือก้าวไปอย่างช้า ๆ อย่างรุ่นตน เพราะ Generation–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่
ทำงานกับกลุ่ม Millennium
ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ ๆ Millennium จะชอบความเป็นคนสำคัญ การเพิ่มความรับผิดชอบ เสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้ Millennium ได้แสดงความคิดเห็นของเขา เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่นกัน Millennium ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิดเห็??ของเพื่อนร่วมงาน มีผลต่อพวกเขามาก
แค่เข้าใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว
ที่มา: forwarded mail
หนึ่งในสาเหตุของความเครียดในที่ทำงาน คือ การที่คนหลายรุ่น หลายวัย หลายความคิด ต้องมาทำงานร่วมกัน ความแตกต่างระหว่างเลขวัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้งในที่สุด บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จ เพียงขอเปิดใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่น ให้ลึกซึ้งก็จะได้พบโลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้อย่างถูกช่องถูกกลุ่มก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ชัด ๆ ก่อน โดยจำแนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น
กลุ่มลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498
ลายคราม...ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือเป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จะมีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย อันเนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ จึงเติบโตมาท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัด ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน มักมีคุณลักษณะที่มั่นคงเชื่อใจได้ สู้งานหนัก ใช้จ่ายอย่างรู้คิด และภักดีต่อองค์กรสูง
กลุ่ม Baby Boom: คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507
หลังสงครามยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อย ๆ ขึ้นมากมาย Baby Boomเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์
ลูกจ้าง Baby Boom มักเคยชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ การจะก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่นั้นต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง
กลุ่ม Generation–X: คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523
Generation–X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกได้สำเร็จ ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และ Walkman พวกเขาเติบโตมาในยุครอยต่อของ Analog กับ Digital อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้ กลับทำให้สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของคนรุ่นนี้จึงคลายลงมาก นำมาสู่การลาออก และเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น
ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่นจะอึ้งที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา หรือลาออกไปหางานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต
กลุ่ม Millennium: คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา
Millennium คือ กลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียนต่อ ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ
ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium ได้เสริมทักษะด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และสนุกกับการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบเงื่อนไข
ในขณะที่ ชาว Generation-X เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อเป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง
สลายช่องว่างสร้างความเข้าใจ
เมื่อเข้าใจอย่างท่องแท้แล้วว่า ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆ ก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากันได้
สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่าระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน
1. เข้าใจถึงความแตกต่าง ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อ หรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป
2. ชื่นชมจุดดี แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ
3. บริหารความแตกต่าง เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย
ทำงานกับกลุ่มลายคราม
จงให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการ เป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขาถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจน ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายครามคือ หมาล่าเนื้อไม่มีที่ไป แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัยเกษียณนั้น เป็นเพราะพวกเขา เชื่อในคุณค่าของความมั่นคง และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด
ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom
จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของ Baby Boom แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใด คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom ให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การ และเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท หากต้องทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom ควรพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมาอย่างไร ก่อนที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่ Baby Boom
ทำงานกับกลุ่ม Generation–X
ต้องพูดให้กระชับ ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม เพราะ Generation–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้ หากคุณสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ควรพูดต่อหน้าเพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้นโยบายกว้าง ๆ เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด
ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X ในการทำงานหนัก อย่างหนักโดยไม่มีวันหยุด หรือก้าวไปอย่างช้า ๆ อย่างรุ่นตน เพราะ Generation–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่
ทำงานกับกลุ่ม Millennium
ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ ๆ Millennium จะชอบความเป็นคนสำคัญ การเพิ่มความรับผิดชอบ เสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้ Millennium ได้แสดงความคิดเห็นของเขา เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่นกัน Millennium ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิดเห็??ของเพื่อนร่วมงาน มีผลต่อพวกเขามาก
แค่เข้าใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว
ที่มา: forwarded mail
Thursday, October 1, 2009
ความลับของความดี
Monday, September 7, 2009
พระเจ้าตอกสาน
พระเจ้าตอกสาน เป็นพระพุทธรูปที่สานจากไม้ไผ่ ชาวล้านนาจึงเรียกว่าพระเจ้าตอกสานหรือพระเจ้าอินทร์สาน เนื่องจากมีตำนานการสร้างว่าเป็นพระที่สร้างได้ยากมาก หากว่าผู้สร้างไม่สามารถจะสร้างต่อไปได้พระอินทร์จะแปลงเป็นชีปะขาวมาสานให้เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อผู้สร้างได้นำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงร่างพระพุทธรูปแล้ว จึงพอกด้วยมวลสาร ลงรักปิดทองเป็นพระพุทธรูปที่สมบูรณ์
พระเจ้าตอกสานในรูปนี้เป็นพระพุทธลักษณะแบบพระสิงห์ ๓ (เชียงแสน) หน้าตักกว้าง ๒๘ นิ้ว โดยสร้างตามตำราการสร้างพระพุทธรูปของล้านนาแบบสีหลักษณะ คือ องค์พระอวบอ้วน พระอุระผึ่งผายดุจพญาราชสีห์ พระพักตร์อวบกลม แย้มพระโอษฐ์น้อยๆ พระเนตรทอดลง นั่งขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์วางซ้อน ปางสมาธิตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จัดสร้างโดยชมรมพุทธศิลป์ศึกษาและประเพณี สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Friday, May 29, 2009
ตักบาตรอุปคุต
ตักบาตรอุปคุต
พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล)
ประเพณีการทำบุญตักบาตรของชาวนครเชียงใหม่ ซึ่งนิยมทำเป็นพิเศษ ไม่ซ้ำแบบกับชาวพุทธในจังหวัดอื่น คือ การทำบุญตักบาตรในวันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธ ซึ่งเรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “เป็งปุ๊ด” บรรดาท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ เมื่อวันเพ็ญพุธหมุนเวียนมาบรรจบทีไร ต่างก็จะตื่นขึ้นจัดแจงของตักบาตรแต่ดึกดื่น ด้วยความปิติยินดี เล่าสืบๆ มาว่า การตักบาตรในวันเป็งปุ๊ดอานิสงส์แรง จะเท็จจริงอย่างไร ก็ขอให้ท่านติดตามเรื่องดังต่อไปนี้
ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ตอนมารพันธปริวัตต์ ปริเฉทที่ ๒๘ เล่าไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าอโศกมหาราช) นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ได้สร้างพระวิหาร และพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ สำเร็จลงด้วยความปลาบปลื้มยินดี มีพระประสงค์จะทำการมหกรรมฉลองเป็นการใหญ่ จะใช้เวลาฉลองถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน พระองค์ทรงปริวิตกว่า การทำงานใหญ่เช่นนี้ อาจจะต้องมีอุปสรรคอันตรายเกิดขึ้น เป็นผลเสียหายแก่งานได้ จึงเสด็จเข้าไปหาพระสงฆ์ที่มีอยู่ในสมัยนั้น แล้วตรัสถามพระสงฆ์ว่า จะมีพระสงฆ์รูปใดที่สามารถจะป้องกันอันตรายมิให้เกิดขึ้นระหว่างานได้บ้าง ไม่มีพระสงฆ์รูปใดที่สามารถจะรับอาสาป้องกันอันตรายมิให้เกิดขึ้นในระหว่างงานได้ แต่พร้อมใจกันถวายพระพรว่า มีพระเถระอยู่รูปหนึ่งมีชื่อว่า อุปคุต (ชื่อเต็ม กิสนาคอุปคุตเถระ หรือ มหาอุปคุตเถระ) ท่านอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร (สะดือทะเล) พระเถระรูปนี้เท่านั้นที่จะสามารถป้องกันอันตรายได้ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ได้ทรงสดับเรื่องแล้ว ทรงพอพระทัยจึงขอร้องให้พระเถระเหล่านั้นรูปใดรูปหนึ่ง ไปอาราธนาท่านมหาอุปคุตเพื่อคุ้มครองงาน ตามเรื่องเล่าต่อไปว่า พระมหาอุปคุตรูปนี้ เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง เป็นผู้มีฤทธิ์มีเดชมาก ท่านนิรมิตปราสาทที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดิษฐานอยู่ในท้องมหาสมุทร นั่งเข้าฌานสมาบัติ เสวยความสุขอยู่ในปราสาทนั้น โดยมิได้ฉันอาหารแต่ประการใดเลย
เมื่อพระมหาอุปคุตได้รับคำอาราธนาแล้ว จึงขึ้นมายังสถานที่ อันเป็นสถานที่ทำการมหกรรมฉลองด้วยอำนาจฌานสมาบัติ พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้ทอดพระเนตรรูปร่างพระเถระผอมๆ ดูทีท่าไม่น่าจะมีฤทธิ์มีเดช พระองค์ก็ไม่มั่นพระทัยว่า พระเถระจะป้องกันอันตรายได้ วันรุ่งขึ้นพระเถระเข้าไปบิณฑบาตพระราชาทรงสั่งทดลองตรัสสั่งให้ปล่อยช้างตกมันวิ่งเข้าไปหาพระเถระ พระเถระรู้ตัวหันมามอง ด้วยกิริยาเพียงเท่านั้น ช้างถึงกับยืนทื่อเหมือนท่อนไม้ พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้ทอดพระเนตรแล้ว รู้สึกเลื่อมใสมั่นพระทัยในคุณธรรมของพระเถระจึงเริ่มทำงานมหกรรมต่อไป
พระยามารอยู่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีทราบว่า พระมหากษัตริย์จะทรงทำบุญเป็นการใหญ่ จึงลงมาจากเทวโลก เพื่อจะทำลายพิธีกรรม บันดาลด้วยฤทธิ์ให้เกิดลมห่าฝนทรายกรด กระทำให้เกิดความมืดมนอนธการ และเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายอย่าง พระเถระก็ต่อสู้ด้วยฤทธิ์ จนพระยามารพ่ายแพ้ยอมจำนน เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการทรมานพระยามารให้หมดพยศ พระเถระจึงเนรมิตสุนัขเน่าแขวนคอพระยามาร แล้วท้าให้พระยามารให้ไปขอผู้ที่สามารถจะแก้สุนัขเน่าให้ออกจากคอได้ พระยามารจึงเที่ยวไปหาเทพไท้ผู้ทรงไว้ซึ่งเทวฤทธิ์ เพื่อให้ช่วยแก้สุนัขเน่าที่แขวนคออยู่ออก แต่หามีท่านผู้ใดสามารถแก้ได้ไม่ ทุกท่านก็บอกให้พระยามารกลับมาหาพระเถระอีก พระเถระบังคับให้พระยามารไปยังภูเขาลูกหนึ่งแล้วแก้สุนัขออกจากคอ เปลื้องกายพันธ์ (สายรัดประคต) ของตนออกให้กายพันธ์ให้ยาว แล้วผูกคอพระยามารติดไว้กับภูเขา บังคับให้อยู่นั้นตลอดเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เมื่อครบกำหนดเสร็จงานมหกรรมแล้ว จึงปล่อยพระยามาร พระยามารสิ้นพยศ ยอมตนถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ นี่ว่าถึงประวัติความเป็นมาของพระมหาอุปคุตเถระ
คงจะนับถือสืบเนื่องมาจากเรื่องตามที่เล่ามานี้เอง พุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ เมื่อจะมีงานปอย (ฉลอง) โบสถ์ วิหาร เป็นต้น จึงนิยมปลูกหอมหาอุปคุตไว้ในบริเวณงาน แล้วจัดแจงเครื่องอัฐบริขารตั้งขบวนไปแห่พระมหาอุปคุตมาจากแม่น้ำ โดยสมมติหินก้อนใดก้อนหนึ่งแทนพระมหาอุปคุต เพื่อคุ้มครองมิให้มีอันตรายเกิดขึ้นในงาน บางแห่งก็มีพระพุทธรูปตั้งไว้ด้วย
เมื่อเดือนเมษายน ๒๔๙๙ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปร่วมงานฉัฏฐสังคายนา และงานฉลองพระพุทธศาสนายุกาล ๒๕๐๐ ณ ประเทศพม่า ได้เห็นประเพณีหนึ่งที่นิยมทำคล้ายกับพุทธศาสนิกชนภาคเหนือ คือ มณฑปสำหรับประดิษฐานพระมหาอุปคุต เข้าสร้างมณฑปขึ้นหลังหนึ่งข้างๆ เจดีย์โลกสันติ ซึ่งเป็นจุดใจกลางของงาน มณฑปเป็นรูปปราสาท หลังคาเป็นเหมือนฉัตรแหลมเล็กขึ้นไปเป็นชั้นๆ ตัวมณฑปกว้าง ๔ ศอก ยกพื้นขึ้นสูงประมาณ ๑ ศอก มีรูปพระมหาอุปคุตหน้าตักประมาณ ๑ คืบ นั่งอุ้มบาตรมือจับบาตรทำท่าจะฉันข้าว แต่มองแหงนขึ้นไปข้างบน คล้ายกับจะดูว่า จะได้เวลาฉันหรือยัง ความประสงค์ของชาวพม่าก็เพื่ออาราธนาให้พระมหาอุปคุตมาช่วยคุ้มกันมิให้มีอันตรายในงานนั่นเอง
(พระบัวเข็ม)
ในสมัยปัจจุบัน คนโดยทั่วๆไป นิยมบูชาพระบัวเข็ม ด้วยมีความเคารพนับถือว่า เป็นพระที่นำความเป็นสิริมงคลและนำโชคลาภมาให้ จึงเสาะแสวงหาบูชาไว้ด้วยราคาแพง ถ้าเป็นสิ่งของธรรมดา ก็เรียกได้ว่า เป็นสินค้าที่หาได้ยาก ของฝากที่ถูกใจเจ้านาย ไม่มีอะไรจะดีเท่าพระบัวเข็ม ตามลักษณะและศิลปกรรมการสร้างเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พระบัวเข็มเป็นศิลปกรรมของชาวพม่าและมอญ เมื่อคราวไปพม่า สืบถามเรื่องนี้จากพระพม่า ได้ความรู้บางอย่างที่ความเข้าใจของคนไทยกับคนพม่าไม่ตรงกัน ที่คนไทยเรียกว่าพระบัวเข็มนั้น ชาวพม่าเขาเรียกว่า “พระทักขิณสาขา” คนไทยเรานับถือในฐานพระสาวก แต่ชาวพม่านับถือในฐานะทั้งที่เป็นพระพุทธและพระสาวก ข้าพเจ้าสังเกตดูพระประธานที่อยู่ในบริเวณสถานที่สังคายนา และตามวัดต่างๆที่ได้ไปนมัสการ ล้วนแต่สร้างแบบพระบัวเข็ม คือมีบัวคลุมอยู่บนพระเศียรคล้ายสวมหมวกทั้งนั้น จึงทำให้มั่นใจว่าชาวพม่านับถือพระบัวเข็มในฐานะเป็นพระพุทธด้วย หาใช่ในฐานะพระสาวกไม่ ตามประวัติเล่ากันมาว่า แรกเริ่มนั้นสร้างที่เมืองอังวะ สร้างด้วยกิ่งไม้ศรีมหาโพธิ์ข้างขวา คือ กิ่งที่อยู่ทางทิศใต้ เขาจึงเรียกพระพุทธรูปชนิดนี้ว่า “ทักขิณสาขา” (กิ่งข้างขวา) กิ่งศรีมหาโพธิ์กิ่งนี้อัญเชิญมาจากเมืองลังกา ซึ่งนับถือว่าเป็นไม้ที่มีเชื้อสายสืบเนื่องมาแต่ต้นศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธองค์ได้อาศัยตรัสรู้นั้นเอง องค์แรกที่สร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูปหน้าตัก ๑ ศอก เศษไม้ที่เหลือบางท่านกล่าวว่า ได้สร้างเป็นรูปพระสาวกเล็กๆ ใต้ฐานมีรูปดอกบัว ใบบัว เต่า ปู ปลา เพื่อเป็นที่สังเกตว่าไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นรูปพระสาวก ก็น่าฟังอยู่เหมือนกัน ความเข้าใจของชาวพม่า เขาแยกพระทักขิณสาขา (บัวเข็ม) และพระอุปคุตไว้คนละอย่างดังที่เล่ามาแล้วในตอนต้น ตามหิ้งพระของชาวพุทธในเมืองพม่า เขานิยมบูชาอยู่ ๓ อย่าง คือ พระทักขิณสาขา พระมหาอุปคุต และพระสีวลี การตั้งพระ เขาตั้งพระทักขิณสาขาอยู่ตรงกลาง พระอุปคุตอุ้มบาตรและพระสีวลีถือพัดตั้งไว้ข้างๆ แสดงว่า องค์กลางเป็นพระพุทธ สององค์ที่อยู่ข้างๆ นั้น เป็นพระสาวก อีกประการหนึ่ง ชาวพม่านับถือพระทักขิณสาขาและพระมหาอุปคุตให้คุณแก่คนที่สักการบูชา ไปในทางคุ้มครองป้องกันภัย ตามที่ปรากฏในตำนาน ส่วนพระที่นำโชคลาภมาให้เขานิยมบูชาพระสีวลี สำหรับความรู้สึกของคนไทย นับถือว่าทั้งพระทักขิณสาขาและพระมหาอุปคุต เป็นพระที่นำโชคลาภมาให้ ส่วนพระสีวลีมีคนรู้จักน้อยจึงไม่ค่อยมีใครพูดถึง
(พระอุปคุตมหาเถระ)
ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องว่า ทำไมชาวพุทธในภาคเหนือ โดยเฉพาะคือในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ จึงนิยมตักบาตรในวันเพ็ญพุธ แต่กลับไปเล่าเรื่องของพระมหาอุปคุตเสียยืดยาว ทั้งนี้ก็เพราะการตักบาตรในเพ็ญวันพุธ มีส่วนสัมพันธ์กับประวัติของพระมหาอุปคุตอยู่มาก ถ้าจะถามที่ตักบาตรในวันเพ็ญพุธว่า ทำไมจึงนิยมตักบาตรในวันนั้น ก็จะได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พระมหาอุปคุตจะออกมารับบาตรในวันนั้น
(พระสิวลี)
มีวัดอยู่วัดหนึ่ง ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวพันกับการตักบาตรในวันเป็งปุ๊ด มีอย่างหนึ่ง เล่ากันสืบๆ มาว่า ที่เป็นที่ตั้งวัดอุปคุตเดี๋ยวนี้ ชั้นเดิมเป็นป่าช้า พระธุดงค์ที่เดินทางมาจากต่างถิ่น มักจะมาพักที่นั่น ในวันเพ็ญพุธวันหนึ่ง มีอุบาสกคนหนึ่งตักบาตรพระธุดงค์รูปหนึ่ง เมื่อท่านรับบาตรแล้วก็หายเข้าไปในบริเวณป่าช้า อุบาสกคนนั้นตามเข้าไปดูที่อยู่ของท่าน ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบพระเถระรูปนั้น ก็เกิดข่าวลือต่อๆ ไปว่า พระเถระรูปนั้น เป็นพระมหาอุปคุต และประจวบกับอุบาสกคนนั้น ต่อมาค้าขายร่ำรวย คนทั้งหลายยิ่งเชื่อมั่นว่า เพราะได้ตักบาตรพระมหาอุปคุตะวันนั้น คงจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง จึงมีผู้นิยมตักบาตรในวันเป็งปุ๊ด (เพ็ญพุธ)? ต่อมามีผู้ศรัทธาเลื่อมใสบริจาคทรัพย์สร้างวัดขึ้นที่บริเวณป่าช้านั้น จึงได้ให้ชื่อว่าวัดอุปคุต จนตราบเท่าทุกวันนี้
ประเพณีการตักบาตรในวันเป็งปุ๊ด แม้จะหาหลักฐานยืนยันที่แน่นอนไม่ได้ แต่ก็เป็นประเพณีการทำบุญที่เข้าไปฝังอยู่ในความรู้สึกของประชาชนอย่างแน่นแฟ้นยากที่จะล้มเลิกเสียได้ ความจริงก็ไม่น่าจะล้มเลิก เพราะเป็นประเพณีที่ดีงามดึงประชาชนให้เข้ามาสู่ศาสนาได้ทางหนึ่ง แต่ควรจะปรับปรุงส่งเสริมให้รุดกุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาตักบาตร เล่ากันมากว่า ประเพณีดั้งเดิมนั้น ต้องลุกขึ้นตักบาตรเวลาตี ๑ ตี ๒ ทีเดียวซึ่งทางการคณะสงฆ์ก็ได้ปรับปรุงแก้ไขมาโดยลำดับและเชื่อว่าจะเป็นประเพณีการทำบุญที่เรียกร้องความสนใจจากประชาชนได้เป็นอย่างดีอีกประเพณีหนึ่ง
ที่มา: ธรรมานุภาพ ๙๐ ปี พระพุทธพจนวราภรณ์ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐. หน้า ๑๐๑-๑๐๔.
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด
Friday, May 22, 2009
พระเจ้าฝนแสนห่า
พระพุทธรูปพระเจ้าฝนแสนห่า เป็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ที่วิหารวัดช่างแต้ม ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัดเจดีย์หลวง มีพุทธานุภาพดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ในปัจจุบันมีการอาราธนาพระพุทธรูปพระเจ้าฝนแสนห่าประดิษฐานบนรถบุษบก “ศรีเมืองเชียงใหม่” แห่ไปรอบเมือง แล้วนำไปประดิษฐานไว้หน้าวิหารวัดเจดีย์หลวงติดกับวิหารอินทขีล เพื่อให้ประชาชนบูชาสรงน้ำตลอดระยะเวลา ๗ วัน ที่มีงานประเพณีอินทขีล และให้ถือปฏิบัติดังนี้ จุดธูป เทียน บูชาเสาอินทขีล และเหรียญใสบาตรพระประจำวันเกิด ใส่ขันดอก และถือกันว่าการใส่ขันดอกควรใส่ครบทุกที่คล้ายกับการใส่บาตร แต่ใช้ห้างร้านหรือพานดอกแทนบาตรพระ และใช้ดอกไม้ธูปเทียนแทนของที่เราใส่บาตร
ประเพณีบูชาเสาอินทขิล ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ราชวงศ์เม็งราย เป็นรัชกาลที่ ๗ พระองค์ทรงสร้างพระเจดีย์หลวงขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๕๕ ด้านหน้าพระวิหารเป็นที่ตั้งของเสาอินทขีล หรือเสาหลักเมือง ตั้งอยู่กึ่งกลางพระวิหาร จัตุรมุขศิลปะแบบล้านนาประยุกต์เป็นเสาอิฐ ก่อเสาปูน ติดกระจกสีรอบเสา วัดได้ ๕.๖๗ เมตร สูง ๑.๓๐ เมตร แท่นพระบนเสาอินทขีลสูง ๙๗ เซนติเมตร รอบ ๓.๔ เมตร มีพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางรำพึงที่พลตรีเจ้าราชบุตร (วงษ์ตะวัน ณ เชียงใหม่) นำมาถวายวัดเจดีย์หลวงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ประดิษฐานอยู่ภายในบุษบกเหนือเสาอินทขีลให้ได้สักการะคู่กัน พระเจ้ามังราย ปฐมกษัตริย์ทรงสร้างเสาอินทขีลเมื่อครั้งสถาปนาราชธานี “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ แรกสร้างอยู่ที่วัดสะดือเมือง (วัดอินทขีล) ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางเก่า (ปัจจุบันคือหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่) ครั้นต่อมาเมื่อพระเจ้ากาวิละครองนครเชียงใหม่ได้ย้ายเสาอินทขีลมาไว้ในวัดเจดีย์หลวง และได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เมื่อปี ๒๓๔๓ เสาอินทขีลเป็นเสาหลักเมือง คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ เป็นที่รวมวิญญาณของชาวเมืองและบรรพบุรุษในอดีต เป็นปูชนียสถานสำคัญของเมืองเชียงใหม่ ประวัติความเป็นมากล่าวไว้ในตำนานเสาอินทขีลฉบับพื้นเมือง ซึ่งท่านอาจารย์พระมหาหมื่น วุฑฒิญาโณ วัดหอธรรมผู้ล่วงลับไปแล้ว รวบรวมไว้อย่างพิสดาร
ในสมัยก่อน ได้มีการทำพิธีสักการบูชาเสาอินทขีลเป็นประจำ ทุกปีการทำพิธีดังกล่าวมักจะทำกันในปลายเดือน ๘ เหนือ ข้างแรมแก่ๆ ในวันเริ่มพิธีนั้นพวกชาวบ้านชาวเมืองทั้งเฒ่าแก่ หนุ่มสาวก็จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียนน้ำขมิ้นส้มป่อยใส่พานหรือภาชนะไปทำการสระสรงสักการบูชา
อนึ่งประเพณีโบราณไม่นิยมให้สุภาพสตรีขึ้นไปไหว้เสาอินทขีลถึงภายในวิหารอินทขีล
ทุกๆ ปีจะมีงานประเพณีบูชาเสาอินทขีล หรือเทศกาลบูชาเสาหลักเมืองเป็นเวลา ๗ วัน สมัยก่อนการจัดงานประเพณีเข้าอินทขีลเป็นหน้าที่ของเจ้าผู้ครองนครและข้าราชบริพาร ปัจจุบันเทศบาลนครเชียงใหม่ร่วมกับวัดเจดีย์หลวง องค์กรเอกชน สถานศึกษา สถาบันต่างๆ และประชาชนชาวเชียงใหม่ทุกสาขาอาชีร่วมกันจัดงาน ตลอด ๗ วันของงาน ชาวเชียงใหม่ทั้งในเมืองและต่างอำเภอทุกเพศทุกวัยจะพากันมาบูชาเสาอินทขีลด้วยข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน น้ำอบ น้ำหอม อย่างเนืองแน่น และมีการละเล่นพื้นเมือง ศิลปะพื้นบ้าน สมโภชตลอดงาน
ประเพณีบูชาเสาอินทขีลเริ่มงานเข้าอินทขีลในวันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ งานวันสุดท้ายในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๙ เหนือ (ภาคเหนือนับเดือนไวกว่าภาคอื่น ๒ เดือน) ออกอินทขีลในวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ เรียกกันติดปากว่า “เดือน ๘ เข้า เดือน ๙ ออก” วันออกอินทขีลเป็นวันทำบุญอุทิศบรรพชนด้วยการถวายภัตตาหารเพลพระ ๑๐๘ รูป ในพระวิหารหลวงวัดเจดีย์หลวง ส่วนการทำบุญสืบชะตาเมือง “๔ แจ่ง ๕ ประตู ๑ อนุสาวรีย์” นั้น ทำภายหลังงานประเพณีบูชาเสาอินทขีลเสร็จแล้ว ในวันข้างขึ้นเดือน ๙ เหนือ วันใดในหนึ่ง
คำบูชาเสาอินทขีล
“อินทะขีลัง สิทธิไชยยะ, อินทะขีลัง สิทธิไชยยะ
อินทะขีลัง มังคะลัตถิ, อินทะขีลัง โสตถิมังคะละ”
Wednesday, May 20, 2009
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 1
“…เนื้อหาสาระและกฎเกณฑ์ของพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นจากการค้นหาความจริงของชีวิตด้วยปัญญามนุษย์ พระพุทธศาสนาแสดงความจริงของชีวิต แสดงทางปฏิบัติที่จะให้บรรลุความสุขสูงสุดของชีวิต มีวิธีการสั่งสอนที่ยึดหลักเหตุและผลว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ผู้ใดประกอบเหตุอย่างไรเพียงใดก็ได้ผลอย่างนั้นเพียงนั้น หากจะถามว่าพระพุทธศาสนาเป็นอะไรก็ต้องตอบว่า โดยเนื้อหาที่เป็นเรื่องความจริงของชีวิต พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญา โดยวิธีการสอนที่ยึดหลักเหตุผล พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์ หรือพูดให้ชัดลงไปอีกก็เป็นวิทยาศาสตร์ เพราฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า การสอนพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง คือการสอนให้คนสามารถพิจารณาขุดค้นหาหลักธรรมะจากชีวิต และนำหลักธรรมะนั้นมาปฏิบัติให้เป็นประโยชน์
เรื่องวิธีการสอนธรรมะ หรือที่พุทธสมาคมใช้คำว่า “เผยแพร่หลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา” ให้เข้าถึงบุคคลประเภทต่างๆ นั้น ความจริงมีปรากฏอยู่อย่างสมบูรณ์ในคัมภีร์ มีทั้งที่กล่าวไว้โดยตรงและโดยอ้อม ทั้งที่กล่าวโดยสรุปและโดยละเอียดพิสดาร ซึ่งเชื่อว่าท่านทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าเป็นหลักวิชา ที่นำมาปฏิบัติได้ผลจริงๆ ได้อย่างแน่นอน
ผู้มีปัญญา ที่ปรารถนาจะช่วยผู้อื่น จะต้องพยายามศึกษาพิจารณาเลือกสรรวิธีการนั้นๆ จากตำรา นำมาใช้สอนให้เมาะแก่บุคคล แก่กาลสมัย และแก่สภาพการณ์ในปัจจุบัน คนที่เรียกว่าเป็นคนสมัยใหม่นั้น ยึดหลักเหตุผลเป็นสำคัญในการสอนคนสมัยใหม่ จะต้องนำเหตุผลที่มีอยู่ในคัมภีร์มาพิจารณา และหยิบยกแต่เฉพาะเนื้อหามาอธิบาย การสอนให้ปฏิบัติตามแบบฉบับเฉยๆ โดยปราศจากเหตุอันสมควร จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ถูกอบรม” และ “ถูกบีบบังคับ” จนหมดความสนใจ
หน้าที่ของท่านในการเผยแพร่หลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงอยู่ที่การเลือกเฟ้นข้อธรรมะ และเลือกเฟ้นวิธีการสอน การใช้คำพูดที่เหมาะ อธิบายหลักธรรมะเทียบเคียงกับตัวอย่างที่เป็นของจริง จนเห็นชัดเจนได้ตามสภาพจิตใจของคนสมัยปัจจุบัน เพื่อช่วยให้แต่ละคนสามารถค้นหาและเข้าใจข้อธรรมะ ซึ่งจะนำมาใช้เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามฐานะของตนๆ...”
พระราชดำรัส พระราชทานในการเสด็จฯ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๓
Saturday, May 16, 2009
อัฐมีบูชา ๒๕๕๒
“ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมองเห็นภัยต่างๆ ในอนาคตก็ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศตัวเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง (ภัยเหล่านั้นได้แก่ ความชรา อาพาธ ข้าวยากหมากแพง คราวบ้านเมืองไม่สงบ คราวสงฆ์แตกแยก เมื่อทำความเพียรจนบรรลุธรรมแล้ว แม้ภัยเหล่านั้นจะมาถึงก็ยังคงอยู่อย่างสุขสบายได้)”
(๒๒/๗๘ ทุติยอนาคตสูตร)
Friday, May 8, 2009
วิสาขบูชา ๒๕๕๒
Tuesday, April 21, 2009
การให้ทาน สูตรสำเร็จแห่งชีวิตในวันอาทิตย์นี้คือทาน
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
สูตรนี้สั้นๆ ง่ายๆ แต่ค่อนข้างทำยากสำหรับคนไทย ทั้งๆ ที่คนไทยเราเป็นคนใจบุญสุนทานนี่แหละ ลองมาดูกันว่ายากอย่างไร
โบราณจารย์ท่านสอนว่า การให้ทานมี 3 ลักษณะคือ ให้เพื่อสงเคราะห์ ให้เพื่ออนุเคราะห์ และให้เพื่อทำบุญ
การให้เพื่อสงเคราะห์และอนุเคราะห์ เรียกอีกอย่างว่า ให้แบบทำบุญ เพราะเป็นการให้เพื่อบุญคุณ หรือหวังผลตอบแทน เช่น เราให้ของขวัญ ให้รางวัล เลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้า แก่ใคร เราก็ว่าเราให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร แต่ในส่วนลึกแห่งดวงใจเรายังทวง "บุญคุณ" อยู่เงียบๆ อย่างน้อยก็อยากให้เขารู้สึกขอบบุญขอบคุณในน้ำใจไมตรีของเรา ลองคิดดีๆ จะเห็นเองครับ ถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป
การให้อะไรแก่ใครแล้วหวังผลตอบแทน ไม่ถือว่าให้เพื่อทำบุญ ไม่ช่วยให้จิตใจสูงหรือสะอาดขึ้น เพราะแทนที่จะกะเทาะความโลภให้หลุดไปจากจิตสันดานกลับพอกให้หนาขึ้น ทำไปทำมา นักทำบุญแบบนี้จะกลายเป็นนักลงทุนหรือนักค้าบุญไปโดยไม่รู้ตัว
ทางศาสนา (ศาสนาพุทธนะครับ ศาสนาอื่นผมไม่รู้) สอนไว้ว่า การให้จะทำให้จิตใจเราสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น หรือทำบุญได้บุญจริงๆ นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
-สิ่งที่จะให้ต้องบริสุทธิ์ หมายถึง ข้าวปลาอาหารอะไรก็ตามที่เราจะให้นั้น ต้องเป็นของได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ขโมยคดโกงใครเขามา ของนั้นไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมากมายหรือราคาแพงๆ น้ำพริกที่ได้มาโดยสุจริตมีผลมากกว่าโต๊ะจีนราคาพันๆ ที่โกงแชร์เขามาจัดถวายพระเสียอีก
-เจตนาจะต้องบริสุทธิ์ ก่อนให้ กำลังให้ หลังจากให้แล้วมีจิตใจเลื่อมใสยินดีให้จริงๆ มิใช่ให้ไปแล้วนึกเสียดายภายหลัง หรือให้ด้วยมีเจตนาแอบแฝงอยู่ เช่น ให้เพื่อให้คนเขารู้ว่าตนเป็นคนใจบุญสุนทาน ให้เพื่อเอาหน้า เคยเห็นภาพคุณหญิงคุณนาย หรืออาเสี่ยร้อยล้านพันล้านบางคนกำลังบริจาคทรัพย์ทำบุญอะไรสักอย่างไหมครับ แทนที่จะมองไปที่พระสงฆ์ที่ตนกำลังประเคนของให้ กลับหันหน้ามายิ้มหราทางกล้อง บางทีถวายไปแล้วกล้องถ่ายไม่ทัน ต้องทำพิธีถวายใหม่เพื่อให้กล้องบันทึกภาพไว้ชัดๆ คนจะได้เห็นทั่วกัน อย่างนี้ส่อเจตนาว่า ให้เพื่อเอา อย่างน้อยก็เอาหน้าว่าเป็นคนใจบุญ เจตนาจะบริสุทธิ์แค่ไหนก็คิดเอาเอง
-ผู้รับต้องบริสุทธิ์ ผู้รับทานของเราต้องมีศีล มีธรรมควรแก่การให้ด้วย ทานจึงจะมีผลมาก ในทางศาสนาท่านสอนให้ถวายแก่พระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ การให้ทานแก่อลัชชีแทนจะได้บุญกลับกลายเป็นว่า ให้กำลังวังชาแก่อลัชชีมาบ่อนทำลายพระศาสนาเป็นบาปเสียอีกแน่ะ
บางท่านถามว่า บางครั้งอยู่บ้านดีๆ มีคนมากดกริ่งขอเรี่ยไรเงินไปสร้างโน่น สร้างนี่ มูลนิธิอะไรต่อมิอะไรชื่อประหลาดๆ มากันบ่อย อย่างนี้ควรให้หรือไม่ ตอบแน่ชัดลงไปไม่ได้หรอกครับ ขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณของท่าน ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ควรให้ ขอให้ถือตามพุทธโอวาทว่า พึงพิจารณาให้ดีก่อนจึงให้
คนไทยใจบุญมักให้ทานส่งเดช จึงเป็นเครื่องมือหากินของพวกมิจฉาชีพไม่รู้จบสิ้น และมักไม่เข็ดด้วยนะครับ ที่พูดนี้ได้กับตัวเองบ่อยเหมือนกัน
การให้ทานจะเป็นบุญกุศลจริงๆ จะต้องครบองค์ประกอบ 3 อย่างคือ ของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ เจตนาต้องบริสุทธิ์ ผู้รับก็ต้องบริสุทธิ์ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็มีผลเหมือนกัน แต่ผลไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น
พูดถึงทานทำให้นึกถึงอีกคำหนึ่งคือ จาคะ หรือปริจาคะ (ไทยเขียน บริจาค) สองคำนี้ใช้แทนกันได้ ในที่ใดท่านใช้คำเดียวว่า "ทาน" ในที่นั้นย่อมคลุมถึงความหมายของ "จาคะ" (หรือปริจาคะ) ด้วย แต่ถ้าสองคำมาด้วยกัน (อย่างในทศพิธราชธรรม) ทาน หมายถึง การให้วัตถุสิ่งของ การสละวัตถุสิ่งของให้คนอื่น จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็แล้วแต่ เรียกทานทั้งนั้น ส่วนจาคะ (หรือปริจาคะ) ก็จะหมายเฉพาะการเสียสละกิเลส (เช่น สละความตระหนี่ถี่เหนียวแน่น, สละความเห็นแก่ตัว)
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็ว่า จาคะ หมายถึง สละความหวงแหนสิ่งของที่ตนมีออกจากใจหรือ "ตัดใจ" ทาน หมายถึง กิริยาอาการที่ยื่นสิ่งของนั้นให้คนที่ควรให้ แต่ถ้าใช้คำว่า ทาน หรือ จาคะโดดๆ ก็รวมทั้งสองความหมายนั้นอยู่ในคำเดียวกัน
มีพุทธพจน์แสดงสาเหตุที่คนให้ทานต่างๆ กัน น่าสนใจดีขอคัดมาให้ดูดังนี้ บางคนให้ทานเพราะหวังผล มีจิตผูกพันกันจึงให้ หวังสะสมจึงให้ คิดว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะได้กินได้ใช้ บางคนให้คิดด้วยว่า การให้เป็นการกระทำที่ดี บางคนให้คิดด้วยว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายเคยทำกันมา ไม่ควรให้เสียจารีตประเพณี บางคนให้คิดด้วยว่า เรามีอยู่มีกินควรแบ่งปันให้คนที่เขาไม่มีอยู่ไม่มีกิน บางคนให้คิดด้วยว่า การให้ทานของตนเป็นเกียรติยศ บางคนให้คิดด้วยว่า เมื่อเราให้ทานจิตใจจะโสมนัสแช่มชื่น บางคนให้โดยฐานเป็นอลังการเป็นบริขารของจิต (หมายถึงเป็นเครื่องปรุงแต่งของจิตให้ดีขึ้น ฝึกจิตให้มีคุณภาพขึ้น)
ความมุ่งหมายของการให้ทานของคนสมัยพระพุทธเจ้ากับสมัยปัจจุบันคงไม่แตกต่างกันมากนัก ท่านชอบการให้แบบไหนก็เลือกเอาแล้วกัน
การให้ทานมีอยู่ 2 ประการคือ ให้เจาะจงคนให้ เรียก ปาฏิปุคคลิกทาน กับให้แก่สงฆ์หรืออุทิศแก่ส่วนรวมเรียก สังฆทาน
อย่างแรก ทำได้ง่าย และถูกจริตนิสัยคนส่วนมากเพราะเราอยากให้อะไรแก่ใคร ก็อยากจะให้แก่คนที่เรารัก ชอบพอหรือนับถือเป็นการส่วนตัว แม้ไม่รู้จักส่วนตัว เช่น เวลาใส่บาตร บางคนยัง "เลือก" พระเลยว่า ใส่รูปนี้ดีกว่าอะไรทำนองนี้
อย่างหลัง (สังฆทาน) ทำยาก เพราะการทำใจให้เป็นกลางไม่เอียงไปข้างรัก ข้างชังนั้น ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญว่า การให้ทานไม่เจาะจง หรืออุทิศให้แก่สงฆ์ทั้งปวงมีอานิสงส์ (ผล) มากกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียอีก
คนส่วนมากยังเข้าใจผิดว่า ถวายทานแก่พระภิกษุตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป จึงจะเรียกสังฆทาน ไม่จริงดอกครับ ถวายพระรูปเดียวก็เป็นสังฆทานได้ ขอเพียงอย่า "เจาะจง" หรือ "เลือก" ก็แล้วกัน
วิธีถวายสังฆทานก็ไม่ต้องฟังนัก "พิธีรีตอง" ที่ไหนให้มากเรื่อง ตระเตรียมข้าวปลาอาหารที่ต้องถวาย ตั้งจิตอุทิศแก่พระสงฆ์ทั้งหมดไม่เจาะจงผู้ใด พบตัวแทนพระสงฆ์รูปใด (จะเป็นพระหรือสามเณรก็ตาม) ก็นิมนต์มารับสังฆทานที่บ้านเท่านี้ก็เป็นสังฆทานแล้วครับ
ลองหัดให้โดยไม่เจาะจง ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้เพื่อการให้อย่างแท้จริงสักพักสิครับ จะรู้สึกว่าจิตใจบริสุทธิ์สะอาดและสูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11362 มติชนรายวัน หน้า 6
การสงเคราะห์ภรรยาและบุตร
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผมเคยไปอธิบายเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพชีวิตอะไรทำนองนี้ก็จำไม่แม่นที่ มสธ. อาจารย์ ดร.จันทร์ ชุ่มเมืองปัก ได้กล่าวสรุปว่า ชีวิตที่มีคุณภาพในทรรศนะของท่านไม่เหมือนใคร ว่าแล้วท่านก็หันมามองผม "คุณเสฐียรพงษ์ช่วยนำไปเผยแพร่ด้วย"
ท่านว่าดังนี้ครับ "มีเมียดี มีลูกดี มีเพื่อนดี มีหน้าที่การงานที่บอกเขาได้อย่างภาคภูมิใจ และอย่าเป็นหนี้หลาย (อย่าเป็นหนี้มากนัก) เท่านี้ก็นับว่าชีวิตมีคุณภาพแล้ว"
การมีเมีย มีลูกไม่ใช่เรื่องยาก แต่การมีเมียดีมีลูกดีนี่สิ มิใช่มีกันได้ทุกคน บ้างก่อร่างสร้างตัวจากเด็กบ้านนอกจนๆ คนหนึ่ง จนมีหน้าที่การงาน มีเกียรติในสังคม ประสบความสำเร็จที่ดีคนหนึ่ง แต่ไปได้เมียผลาญ ลูกผลาญ หายนะล่มจมก็มี
ถามหมอดูเขาก็ว่า ดวงปัตนิไม่ดี ปุตตะไม่ดี ตกเรือนมรณะวินาศ มีดาวศุกร์ทับดาวเสาร์ อะไรก็ว่ากันไป (พูดไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรนี่แหละครับ) ถามมหาบาเรียน เขาก็ว่า กรรมทำมาอย่างใดก็ย่อมได้อย่างนั้น
ท่านอธิบดีท่านหนึ่งเติบโตมาจากเด็กวัด มีลูกมาก็พยายามสอนลูกไม่ให้สุรุ่ยสุร่าย ตัวท่านเองกว่าจะก้าวมาถึงขั้นนี้ก็ต้องต่อสู้กับความลำบากลำบนสารพัด ลูกชายย้อนเอาว่า "ก็พ่อเป็นลูกชาวนาก็ลำบากเป็นธรรมดา แต่ผมเป็นลูกอธิบดีนี่ครับ" นี่แหละครับที่ว่า มีลูกน่ะง่าย แต่มีลูกดีมิใช่ของง่าย รวมทั้งเมียด้วยนะครับ
มาจากเรื่องลูกก่อน พระพุทธเจ้าท่านว่า ลูกมี 3 จำพวก เลี้ยงแล้วดีกว่าพ่อแม่ก็มี (อภิชาตบุตร) เลี้ยงแล้วเสมอพ่อแม่ก็มี (อนุชาตบุตร) เลี้ยงแล้วเลวกว่าพ่อแม่ก็มี (อวชาตบุตร) แล้วแต่บุญแต่กรรมของใคร เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาเถิด อย่าวิตกทุกข์ร้อนเลย เราในฐานะพ่อแม่ขอให้ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุดก็พอ
นั่นคือเลี้ยงลูกให้สมกับที่เราเป็นพ่อแม่ วิธีเลี้ยงลูกให้ดี พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ 5 ประการ คือ
-กันลูกจากความชั่ว หมายถึง ป้องกันหรือกีดกันทุกวิถีทางมิให้ลูกทำชั่ว
-ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี ดีในที่นี้เล็งไปที่ "จิตใจ" เพราะใจเป็นคลังของความดีความชั่วของคน ถ้าปลูกฝังให้ใจดีแล้วก็เท่ากับพ่อแม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อแม่สมบูรณ์แล้ว
-ให้ลูกได้รับการศึกษา ตามตัวอักษรหมายถึง ส่งเสียให้เล่าเรียนสูงๆ โดยอรรถะหมายถึง ฝึกสอนให้ลูกเป็นคนฉลาดรู้จักใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้ฉลาดได้ นับว่าเป็นโชค ดังภาษิตหิโตปเทศบทหนึ่ง "มีลูกฉลาดแต่ตายแล้วหนึ่ง มีลูกโง่ยังมีชีวิตอยู่หนึ่ง อย่างแรกประเสริฐกว่า" คือถ้าเลี้ยงลูกแล้วโง่อย่ามีเสียเลยดีกว่า
-จัดแจงให้แต่งงานกับคนดี สนับสนุนให้ลูกได้คู่ครองดี
-มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงเวลาสมควร คือ มอบทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยากให้ลูกไว้เป็นทุนรอนดำรงชีวิตต่อไป
เคล็ดลับการเลี้ยงลูกดีของพระพุทธองค์ สรุปลงด้วยคำพูดสั้นๆ คือ "ห้ามทำชั่ว-ให้ทำตัวดี-ให้มีวิชา-หาคู่ครอง-ให้กองทุน" ทำได้ตามนี้นับว่า ไม่เสียทีที่เป็นพ่อแม่
คราวนี้มาว่าด้วยการเลี้ยงดูภรรยา เนื่องจากผู้เขียนเป็นบุรุษเพศจะขอพูดถึงการเลี้ยงดูภรรยาเท่านั้น พึงเข้าใจเอาเองว่า ถ้าท่านเป็นสตรีเพศ สูตรสำเร็จข้อนี้จะต้องเปลี่ยนเป็น "การเลี้ยงดูสามี" แทนนะครับ
พระไตรปิฎกพูดถึงภรรยาไว้ 7 ชนิด น่าสนใจดี (ชนิดของสามีก็พึงทราบโดยนัยเดียวกัน) ดังนี้นะครับ
ภรรยาเหมือนเพชฌฆาต หมายถึง ภรรยาล้างผลาญ ประเภทใจเหี้ยมโหด แช่งชักหักกระดูกสามีเช้าเย็น วันๆ เอาแต่เรียกผีมากิน ห่ามาลง พูดคำก็จะให้ตายห่า สองคำก็จะให้ตายโหง หรือประเภทมือไวเท้าไว เดี๋ยวเตะ เดี๋ยวต่อย (ผู้หญิงก็เตะต่อยเก่งนะครับ เคยเห็นมาแล้ว ปิดประตูซัดสามีผัวะๆ แถมยังร้อง "ช่วยด้วยๆ สามีซ้อมฉัน" ก็มี เป็นงั้นไป) ภรรยาประเภทนี้ ผมอยากแปลว่า ภรรยาผีมากกว่า ใครได้ภรรยาผีร่วมบ้านก็เวรกรรมของคนนั้น ช่วยไม่ได้
ภรรยาเหมือนโจร มีลักษณะล้างผลาญเหมือนประเภทแรก แต่ล้างผลาญคนละอย่าง ประเภทนี้ล้างผลาญทรัพย์ สามีหาได้เท่าไหร่ผลาญหมดเกลี้ยง เขาเรียกว่า "กระเชอก้นรั่ว" ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม ใครได้ภรรยาโจรเป็นคู่ครอง ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหนไม่ช้าไม่นานก็หมดตัว
ภรรยาเหมือนนาย หมายถึง ภรรยาที่เห็นสามีด้อยกว่าตัว ดูถูกเหยียดหยามสามี ภรรยาประเภทนี้ภูมิอกภูมิใจที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าสามีอยู่ในกำมือของตน นี้ก็ภรรยาผลาญอีกประเภทหนึ่ง ประเภทแรกผลาญชีวิตร่างกาย ประเภทที่สองผลาญทรัพย์ ประเภทที่สามผลาญศักดิ์ศรี ไม่ได้ความพอกัน
ภรรยาเหมือนแม่ น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง เธอจะรักเอ็นดูสามีเหมือนคุณแม่รักลูก จะคอยดูแลสามีด้วยความเป็นห่วงเป็นใยสารพัด ภรรยาประเภทนี้จะไม่ทอดทิ้งสามีไม่ว่ากรณีใดๆ
ภรรยาเหมือนน้องสาว ความรักระหว่างพี่น้องเป็นความรักที่ยั่งยืนรองมาจากความรักของพ่อแม่ แต่ก็มีลุ่มๆ ดอนๆ อาจขัดใจกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ตัดกันไม่ขาด ใครมีภรรยาประเภทนี้นึกเสียว่าเลี้ยงน้องไว้คนหนึ่งก็แล้วกัน ถึงทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่ก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาดดอก
ภรรยาเหมือนเพื่อน ภรรยาประเภทนี้เป็นเสมือนเพื่อนที่ถูกคอกันดี ให้เกียรติกันและกันฉันเพื่อนสนิท มีอะไรปรึกษาหารือกัน มีรสนิยมเหมือนกัน เคยเห็นสามีภรรยาประเภทนี้เป็นครูช่วยกันตรวจการบ้านเด็ก บางคู่เป็นนักเขียนเหมือนกันช่วยกันเขียนเรื่อง ช่วยกันเกลาสำนวนของกันและกัน น่าอิจฉาจัง
ภรรยาเหมือนทาสี ลดฐานะของตัวลงเป็นคนใช้ ยอมรับใช้ทุกอย่าง ยอมให้สับโขก เพราะรักตัวเดียวนี่แหละ ภรรยาบางคนได้คู่เป็นปีศาจสุรา ต้องวิ่งซื้อน้ำแข็งโซดา ทำกับแกล้มให้พ่อเจ้าประคุณมือเป็นระวิง น่าสงสารจัง
ภรรยาทั้ง 7 ประเภทนี้ ผู้อ่านคงบอกได้ว่า ประเภทไหนดี ประเภทไหนเลว แต่ไม่ว่าจะได้ภรรยาประเภทไหน สามีควรสงเคราะห์เลี้ยงดู 5 สถานดังนี้คือ ให้เกียรติยกย่อง, ไม่ดูหมิ่น, ไม่นอกใจ, ยกความเป็นใหญ่ในบ้านให้ และซื้อหาเครื่องประดับตกแต่งให้ตามกาลเวลาอันเหมาะสม ทำได้ตามนี้นับว่าเป็นสามีในอุดมคติแล้ว
อ้อ! ที่ว่ายกย่องและมอบความเป็นใหญ่ให้นั้น มิใช่มอบความเป็น "ภรรยาหลวง" ให้นะครับ อย่าเข้าใจผิด
วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11348 มติชนรายวัน
หน้า 6
การงานไม่อากูล
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
สูตรสำเร็จในชีวิตที่ผมจะกล่าวในอาทิตย์นี้คือ การงานไม่อากูลครับ คำนี้เป็นคำพระแท้ๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่องแน่ถ้าไม่อธิบาย การงานไม่อากูลก็คือการทำงานมิให้คั่งค้างนั่นแหละครับ
คนที่จะเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จในชีวิตนอกจากจะเลือกคบคนดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี มีระเบียบวินัย ยกย่องคนควรยกย่อง ตลอดถึงปฏิบัติต่อลูกเมียดีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยอีกข้อหนึ่งคือ การทำงาน
ผู้รู้ท่านหนึ่งเปรียบการทำงานดุจคนขับรถ รถมันจะใหม่เอี่ยมเครื่องเคราดี ยี่ห้อโก้เก๋ทันสมัยอย่างไร ถ้าคนไม่ขับเคลื่อนที่ มันก็เศษเหล็กธรรมดา ไม่ต่างจากขอนไม้ท่อนหนึ่งนั่นเอง
นั่งบนขอนไม้กับนั่งในรถหรูคันนั้น ได้ผลเท่ากันคือไปไม่ถึงที่หมาย
การที่จะไปถึงที่หมายได้ ก็ต้องสตาร์ตเครื่องแล้วก็ขับไป ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราเกิดมาแล้วนั่งนอนอยู่เฉยๆ งานการไม่ทำ นอกจากจะไม่เจริญแล้ว จะพาลเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเอา เพราะฉะนั้น อยากเจริญต้องทำงานและทำงานให้มีประสิทธิภาพ มิใช่สักแต่ว่าทำ
วิธีการทำงานมีอยู่ 2 แบบ คือ ทำแบบมงคลกับทำแบบอัปมงคล ทำแบบมงคล คือทำแล้วเจริญ มีหลักอยู่สั้นๆ 3 หลัก คือ ทำดี - ทำเต็มที่ - ทำให้เสร็จ ทำแบบอัปมงคลมีหลักสั้นเหมือนกันคือ ทำค้าง - ทำย่อหย่อน - ทำเสีย
งานอากูลก็คืองานค้างนั่นแหละครับ เป็นนิสัยของคนทำงานประเภทหนึ่ง (รวมผมด้วยบางครั้ง) มักไม่ชอบทำอะไรให้เสร็จทั้งที่ควรให้เสร็จ ทำได้หน่อยหนึ่งให้ทิ้งไว้ก่อน ผัดผ่อนไปเรื่อย "พรุ่งนี้ยังมีเวลา เอาไว้แค่นี้ก่อน" อะไรอย่างนี้เป็นต้น เหมือนคนแก่ฟันไม่ดี เคี้ยวอาหารให้ละเอียดไม่ได้ พอจวนจะละเอียดก็กะล่อมกะแล่มกลืนเข้าไป กินก็เท่ากับไม่ได้กิน เผลอๆ อาหารที่กลืนเข้าไปไม่ย่อยหรือย่อยยาก เป็นโทษแก่ร่างกายอีก
ลักษณะคนที่ทำงานคั่งค้างที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือชอบจับจด ทำงาน ก ได้หน่อยหนึ่งเบื่อ หันไปจับงาน ข ไปได้หน่อยหนึ่งหันไปจับงาน ค เลยไม่เสร็จสักอย่าง บางท่านคิดว่าคนเช่นนี้เป็นนักริเริ่มเริ่มงาน หรือวางแผนเก่ง หามิได้ อย่างนี้เขาเรียกว่า คนจับจดต่างหาก
งานค้างเป็นอัปมงคลก็เพราะก่อผลเสียให้ทั้งร่างกายและใจ คิดไม่ดีไม่เห็น ทางกายเห็นได้ชัดๆ คือทำให้เปลืองแรง ต้องลงแรงถึงสองครั้งเป็นอย่างน้อย แทนที่จะเป็นครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาไถนาไว้แล้วไม่ปักดำ ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ ต้องมาเสียแรงงานไปครั้งหนึ่งแล้ว พอถึงเวลาจะปักดำจริงๆ ต้องมาไถใหม่อีก เปลืองแรงไปครั้งที่สอง
เรื่องที่เราทิ้งค้างไว้ พอถึงเวลาจะทำให้เสร็จจริงๆ ก็ต้องนำมาดูย้อนต้นใหม่อีก เพราะลืมไปแล้วว่าเรื่องเดิมเป็นอย่างไร นี่แหละครับที่ว่าเปลืองแรง
แล้วเปลืองใจล่ะเป็นอย่างไร งานที่ทิ้งค้างไว้อย่างนั้นแหละพอมีคนถามถึงหรือนึกขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ใจหายวาบทุกที ยิ่งเป็นงานที่เขากำหนดเวลาแน่นอนว่า ไม่เกินวันนั้นวันนี้ด้วยแล้วมัวแต่เอ้อระเหยอยู่ นึกขึ้นมาได้เหลืออีกสองสามวันจะครบกำหนดต้องตาลีตาเหลือกรีบๆ ทำลวกๆ พอให้เสร็จ ผลก็กลายเป็นว่าทำอย่างย่อหย่อน ทำเสีย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ถ้าไม่อยากเสียคน ก็อย่าทำงานให้คั่งค้างอากูลนะครับ (บรรทัดนี้เตือนผู้เขียนเองด้วย)
อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้นว่า คนทำงานคั่งค้างจะต้องได้รับผลเสียทั้งทางกายและทางใจ ทางกายนั้นต้องเปลืองแรงถึงสองครั้ง ทางใจนั้นเล่าเวลานึกถึงงานที่คั่งค้างเมื่อใดใจหายวาบเมื่อนั้น เสียสุขภาพจิตไม่น้อย
คนจะทำงานไม่ให้อากูลคั่งค้างจะต้องมีอิทธิบาท 4 ประจำใจ คือ
ฉันทะ แปลกันว่าความพอใจ ยังไม่สื่อความหมายเท่าที่ควร ถ้าจะให้เข้าใจง่ายต้องแปลว่า ความรักงาน หรือเต็มใจทำ คนเราลงได้รักอะไรแล้ว ย่อมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง นึกถึงสมัยยังหนุ่มยังสาวก็แล้วกัน (สำหรับท่านที่ชราภาพแล้ว) คนรักชอบอะไร ต้องการอะไร ก็ยังอุตส่าห์หามาประเคนให้ด้วยความเต็มใจ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำงานก็ไม่แตกต่างกัน เราต้องมีความรัก เพียงแต่แปรความ "รักคน" มาเป็น "รักงาน" แล้วเราก็ทุ่มเทให้กับงานได้อย่างดี
วิริยะ พากเพียรพยายามหรือแข็งใจทำ แข็งใจในที่นี้มิใช่ฝืนใจทำแบบซังกะตาย หากหมายถึงทำงานด้วยความเข้มแข็ง กล้าสู้ กล้าบุก ไม่ว่างานจะใหญ่โตหรือลำบากแค่ไหน พยายามเต็มที่ไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก
จิตตะ ตั้งใจทำ หมายถึง คิดถึงงานที่เริ่มไว้ตลอดเวลา เอาใจจดจ่ออยู่ที่งานนั้น คิดเปรียบเทียบง่ายๆ เวลาเรารักใครสักคนเราจะคิดถึงแต่คนที่เรารัก คนที่รักกันคิดถึงกันย่อมไม่มีวันจะทอดทิ้งกันแน่นอน นอกเสียแต่จะหมดรักกันเท่านั้น ฉันใด คนที่คิดถึงงานตลอดเวลา ย่อมไม่ทิ้งงาน มีแต่จะคิดหาทางปรับปรุงแก้ไขให้งานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ฉันนั้น
วิมังสา เข้าใจทำ อันนี้หมายถึง ทำงานด้วยการใช้ปัญญาทำอย่างฉลาด คนเราถึงจะรักงานเพียงใด เอาใจจดจ่ออยู่กับงานเพียงใด ถ้าขาดปัญญาความรู้ ความเข้าใจแล้ว แทนที่งานจะสำเร็จอาจไม่สำเร็จ หรือก่อทุกข์โทษให้ก็ได้ ว่ากันว่า คนโง่ขยันนั้นอันตรายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก เพราะแกจะขยันสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองและคนอื่นดังตัวอย่างต่อไปนี้
บุรุษคนหนึ่งเลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะไปธุระต่างเมือง สั่งให้หัวหน้าลิงช่วยดูแลสวนผลไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ๆ เจ้านายหายไปสามสี่วันต้นไม้ในสวนตายเรียบ ไม่ใช่เพราะลิงมันขี้เกียจทำตามเจ้านายสั่ง มันทำอย่างขะมักเขม้นทีเดียว มันสั่งให้ลูกน้องช่วยกันตักน้ำมารดต้นไม้ทุกเช้า ขณะรดน้ำมันสั่งให้ลูกน้องถอนต้นไม้มาดูทุกครั้งว่า รากมันชุ่มน้ำหรือยัง ถ้ายังให้ราดน้ำลงไป ถ้ารากชุ่มแล้วจึงยัดลงหลุมกลบดินใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวันแล้วอย่างนี้มันจะเหลืออะไร เจ้านายกลับมาเห็นต้นไม้ตายเกลี้ยงสวน แทบลมจับ นี่แหละโทษของการใช้ลิง โง่แต่ขยันรดน้ำต้นไม้
ที่สำนักงานแห่งหนึ่งผู้บริหารก็โง่ ผู้ช่วยงานก็โง่แต่ขยันขันแข็งทำงาน บางทีเซ็นสั่งงานไปทั้งที่ไม่รู้ว่าให้เขาทำอะไร พอเขาถามว่า จะให้เขาทำอะไรก็ตอบไม่ได้ เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนแก้ไม่ไหว เพราะพวกเขาขยันสร้างเงื่อนปมเสียจริง จนผู้บริหารระดับสูงบ่นปวดศีรษะ ต้องมาช่วยแก้ไขปัญหาให้ไม่รู้จบสิ้น เวรกรรมจริงๆ คือเป็นกรรมของหน่วยงานที่มีผู้บริหารเวรๆ อย่างนั้น นี่คือโทษของการเอาคนโง่มาบริหารงาน
สรุปแล้ว คุณสมบัติของผู้ที่จะทำงานมิให้อากูล คั่งค้าง จะต้องมีความเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำและเข้าใจทำ ใช้สูตรนี้สูตรเดียวการงานทุกอย่างไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก รับรองประสบความสำเร็จแน่นอน
หน้า 6
วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11355 มติชนรายวัน
Monday, March 23, 2009
ศิลปศาสตร์ 18 ประการ
ศิลปศาสตร์ 18 ประการที่สอน ณ สำนักตักศิลา ประกอบด้วย
1. สติ – ความรู้รอบตัว
2. สัมมติ – ความเข้าใจระเบียบ
3. สังขยา – วิชาคำนวณ
4. โยคะหรือยันตรศึกษา – การใช้เครื่องยนต์กลไก
5. นิติ - -นิติศาสตร์ กฎหมาย
6. วิเสสิกา – พณิชยศาสตร์
7. คันธัพพา – วิชาฟ้อนรำขับร้อง
8. คณิกา – วิชากายบริหาร
9. ธนุพเพธา – วิชายิงธนู
10. ปูรณา – วิชาโบราณคดี
11. ติกิจฉา – วิชาแพทย์
12. อิติหิงสา – วิชากาพย์
13. โชติ – ดาราศาสตร์
14. มายา – พิชัยสงคราม
15. เหตุ – เหตุศาสตร์ วิชาหาเหตุผล (เทียบกับตรรกวิทยาในปัจจุบัน)
16. เกตุ – วิชาพูด
17. มันตา – วิชามนต์
18. สัททา – ไวยากรณ์ – การใช้ภาษา
มาถึงสมัยพุทธกาลได้เพิ่มวิชาพุทธวจนะเข้าด้วย หมายความว่านักศึกษาต้องเรียนวิชาการทางศาสนาด้วย มิใช่เรียนแต่วิชาทางโลกอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีไตรเพทของพราหมณ์อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อการศึกษาที่สมบูรณ์
ที่มา: วศิน อินทะสระ, 2544, จอมจักรพรรดิอโศก, (พิมพ์ครั้งที่ 5), กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊ค, หน้า 99-100
Thursday, March 12, 2009
ยกทำให้ต่ำ..ลดทำให้สูง
ยกทำให้ต่ำ..ลดทำให้สูง
เป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา..
ที่ต้องอาศัยการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่..
ในสภาพของสังคม..
ที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ..
การแข่งขัน..ชิงดีชิงเด่นกัน..
หากเราไม่พยายามที่เรียนรู้และทำความเข้าใจ...
ทั้งตนเองและผู้อื่น..
ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรา..
ไม่สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้..
สิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติได้สอนถึง..
ความงดงามภายในจิตใจของมนุษย์เราทุกคน..
เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข..
นั่นก็คือ..หลักยกต่ำ..ลดสูง..
จากหลักการดังกล่าวนั้น..
ทำให้เราเกิดมุมมองความคิดเห็น..
ที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้..
คือ..การยกตนข่มผู้อื่นนั้น..
ไม่เป็นการดีเลย..
เพราะยิ่งเรายกตนข่มคนอื่น..
ไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นมากเท่าใด..
เราก็จะไม่เห็นคุณค่าในตัวของเราเช่นกัน..
แต่หากเราลดมานะทิฎฐิ..ความเห็นส่วนตัวลงบ้าง..
เพิ่มความอ่อนโยน..มีสัมมาคารวะ..
ทำตนเองให้ต่ำลง..
นั่นชื่อว่า..เป็นการเพิ่มคุณธรรมที่สูงในจิตใจของเรา..
การยกตนเองให้สูงขึ้น..
คนอื่นก็จะต่ำลง..
ไม่ใช่ความงดงามทางคุณธรรม..
แต่การลดตนเองให้ต่ำลง..
แล้วยกผู้อื่นให้สูงขึ้น..
เป็นความงดงามในจิตใจ..
เป็นการเพิ่มระดับคุณธรรมในจิตใจให้สูงขึ้น..
เรายอมลดตนเองย่อเข่าลง..
ทำให้ตนเองต่ำ..
ดีกว่าการใช้ความพยายาม..
ที่จะใช้มือกดศีรษะของผู้อื่นให้ต่ำลง..
บทความ...โดย..ชายน้อย..
Friday, March 6, 2009
อญญถา สนฺตมตฺตานํ อญญถา โย ปเวทเย
นิกจฺจ กิตวสฺเสว ภุตฺตํ เถยฺเยน ตสฺสตํ
บุคคลใด ตนเป็นอย่างหนึ่งกลับประกาศให้คนอื่นรู้อีกอย่างหนึ่ง
บุคคลนั้นชื่อว่าลวงเขาบริโภคโดยความเป็นขโมย
เหมือนนายพรานนกลวงจับนกฉะนั้น
กมฺมํ วิชฺชา จ ธมฺโม จ สีลํ ชีวิตมุตฺตมํ
เอเตน มจฺจา สุชุฌนฺติ โคตฺเตน ธเนนวา
สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ๕ ประการ
คือ การงาน วิชา ธรรม ศีล และชีวิตอันสูงสุด
หาใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือทรัพย์ไม่
พระไตรปิฎก สังยุตนิกาย
Saturday, February 28, 2009
ทางเดินชีวิต
ทางเดินชีวิต
คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.com
ชีวิตคนเรานั้น แท้จริงคือ การเดินทางชนิดหนึ่ง ซึ่งเดินจากความเต็มไปด้วยความทุกข์ ไปยัง ที่สุดจบสิ้นของความทุกข์ ที่ตนเคยผ่านมาแล้วนั่นเอง ไม่ว่าผู้นั้นจะทราบหรือไม่ทราบ รู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ชีวิตก็ยังคงเป็นการเดินทางเรื่อยไปอยู่นั่นเอง
การเดินทางของชีวิตนี้ มิใช่เป็นการเดินทางด้วยเท้า ดังนั้น ทางของชีวิต จึงไม่สามารถที่จะเดินไปได้ด้วยเท้า บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน ได้พากันสนใจในทางชีวิต กันมากเป็นพิเศษ ในฐานะที่เป็นทางของจิต อันจะพัฒนาไปในทางสูงกว่าทางวัตถุหรือทางกาย อย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย
สิ่งที่เรียกกันว่า ทางเดินนั้น แม้จะมีสายเดียวก็จริง ตามธรรมดา ต้องประกอบด้วยข้อดีหลายประการเสมอ ทางชีวิตก็เช่นเดียวกัน แม้จะสายเดียว ดิ่งไปสู่ความพ้นทุกข์ก็จริง แต่ก็ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการ เป็นต้นว่า
1. ศาสนา เป็นองค์คุณอันสำคัญ โดยช่วยให้ชีวิตนี้ มีความสดชื่น เยือกเย็น พอที่จะเป็นอยู่ ไม่ร้อนเป็นไฟ เช่นเดียวกับน้ำ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พฤกษชาติ ให้สดชื่น งอกงาม ตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้น
2. ศิลปะ โดยเฉพาะก็คือ ศิลปะแห่งการครองชีวิต หรือการบังคับตัวเองได้ ช่วยให้ชีวิตนี้ ดูแจ่มใส งดงาม น่าชื่นใจ น่ารักใคร่ นำมาซึ่งความเพลิดเพลิน ในการก้าวหน้า ไปด้วยความรู้ และการกระทำที่ดูงาม ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย
3. ภูมิธรรม คือ ธรรมสมบัติ หรือ ความดี ความจริง ความยุติธรรม ที่ประกอบอยู่ในตัวบุคคล อันนำมาซึ่งความเลื่อมใส ความไว้วางใจ ความน่าคบหาสมาคมจากชีวิตรอบข้าง ทำให้ชีวิตนั้นตั้งอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของชีวิตทั้งหลาย
4. ความรู้ ช่วยให้มีความสามารถในการใช้ความคิด และการวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ในการตัดสินใจ การแก้ไขอุปสรรคและอื่นๆ ในอันที่จะก่อให้เกิดผลในการครองชีพ การสมาคม และอื่นๆ ที่จำเป็นทุกประการ โดยสมบูรณ์
5. สติปัญญา ช่วยให้การดำเนินงานของชีวิตสำเร็จลุล่วงไปได้ตามแนวของความรู้ ทำให้ งานของชีวิต ทุกชนิด ทุกระดับ ดำเนินไปได้โดยง่าย โดยเร็ว โดยสมบูรณ์ และปลอดภัย โดยประการทั้งปวง
องค์ประกอบ 5 ประการนี้ รวมกันเป็นทางสายเดียว ช่วยให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างสะดวก ประสบความสุขความเจริญ ผลในโลกนี้ คือ ทรัพย์ ชื่อเสียงและมิตรภาพก็ดี ผลในโลกหน้า คือ สุคติก็ดี และผลอันสูงสุด พ้นจากโลกทั้งปวง คือ นิพพานก็ดี จักเป็นที่หวังได้ ครบถ้วน
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่ทุกชีวิตจะต้องแสวงหาทาง และมีทางเดินชีวิตของตนอันถูกต้อง ปลอดภัย เพื่อก้าวหน้าไปสู่ความสะอาด หมดจด สว่างไสว และ สงบเย็น สมตามความปรารถนา
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6666 ข่าวสดรายวัน หน้า 31
Tuesday, February 10, 2009
ต้นแบบ ”รักเรียบง่าย” ที่คนไทยต้องร่วมสืบสาน ”รักตอบ”
ต้นแบบ ”รักเรียบง่าย” ที่คนไทยต้องร่วมสืบสาน ”รักตอบ”
แดงส์ ตักสิลา ผู้จัดการออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2552
fashionhora@gmail.com
ใกล้ถึงวันแห่งความรักอีกแล้ว และดูเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หรืออาจเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีสากลที่ครอบงำคนไทยไปด้วยแล้ว ด้วยทัศนคติที่คิดว่า Valentine’s Day เป็นวันแห่งความรักเชิงชู้สาว วันที่มีคุณค่าแค่ความรู้สึกพิเศษเฉพาะคนสองคนที่รักกัน เท่านั้นหรือ ?
คนไทยมีความรักต่อคนไทยด้วยกันหรือไม่ ? คนไทยมีความรักต่อผืนแผ่นดินไทยของเราหรือไม่ ? คนไทยแย่งชิงกันทำความดีเพื่อส่วนรวมที่ไม่ใช่ส่วนตัวหรือไม่ ?
ผมอยากเชิญชวนให้อ่านถ้อยคำ ที่ผมขออนุญาตนำมาจากปฏิทินตั้งโต๊ะของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งได้มอบให้ผม เป็นปฏิทินที่ได้รับพระบรมราชานุญาต ทั้งพระบรมฉายาลักษณ์และถ้อยคำอันมีพลังแห่ง “รักเรียบง่าย” ที่พ่อหลวงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่มีการเลือกสี เลือกข้าง
กระบวนทัศน์ ”รักเรียบง่าย” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย
1. องค์รวม: ทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม ทรงมองอย่างครบวงจร ทรงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแนวทางแก้ไข อย่างเชื่อมโยง
2. ไม่ติดตำรา: การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลม และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน “ไม่ติดตำรา” ไม่ผูกมัดกับวิชาการ และเทคโนโลยี ที่ไม่เหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนไทย
3. แก้ปัญหาที่จุดเล็ก: ทรงมองข้ามปัญหาในภาพรวมก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาจะเริ่มจากจุดเล็ก คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักมองข้าม “...ถ้าปวดหัวคิดอะไรไม่ออก..ต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน..เพื่อให้อยู่ใน สภาพที่คิดได้..”
4. ทำตามลำดับขั้น: ทรงเริ่มจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน ได้แก่ สาธารณสุข ต่อไปจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพ การพัฒนาประเทศต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่ก่อน จึงค่อยเสริมสร้างความเจริญและเศรษฐกิจขั้นสูง โดยลำดับต่อไป
5. ทำงานอย่างมีความสุข: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระเกษมสำราญและทรงมีความสุขทุกครั้งที่ทรงช่วยเหลือประชาชน “..ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น..”
6. การพึ่งตนเอง: การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในเบื้องต้น ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้เขาแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้เขาสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และสามารถ ”พึ่งตนเอง” ได้ในที่สุด
7. ทำให้ง่าย: ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานพัฒนาประเทศ ตามแนวพระราชดำริโดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ทรงโปรดที่จะทำสิ่งยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งสลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย “ทำให้ง่าย”
8. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด : ทรงใช้หลักในการแก้ไขด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในชุมชนนั้นมาแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องลงทุนสูง หรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนัก “ให้ปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูกป่า โดยปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติ จะได้ประหยัดงบประมาณ”
9. ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ: การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่ง จะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและราษฎรในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียดที่เป็นจริง เพื่อที่จะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว ตามความต้องการของประชาชน
10. เศรษฐกิจพอเพียง: เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งหรือภูมิคุ้มกันทุกด้าน ซึ่งสามารถทำให้อยู่ได้อย่างสมดุลโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ปรัชญานี้ได้มีการประยุกต์ใช้ทั้งระดับบุคคล องค์การ ชุมชน และทุกภาคส่วน มาแล้วอย่างได้ผล
11. การมีส่วนร่วม: ทรงเป็นนักประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้มาร่วมกันแสดงความคิดเห็น “..ต้องหัดทำใจให้กว้างขวางหนักแน่น รู้จักฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด.. เพราะการรู้จักฟังอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือการระดมสติปัญญา และประสบการณ์อันหลากหลาย มาอำนวยการปฏิบัติบริหารงาน ให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง..”
12. ความเพียง (พระมหาชนก) : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเริ่มทำโครงการต่างๆ ในระยะแรกที่ไม่มีความพร้อมมากนัก ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น แต่พระองค์มิได้ท้อพระราชหฤทัย มุ่งมั่นพัฒนาโครงการต่างๆ ให้ราษฎรบังเกิดความร่มเย็นเป็นสุขในที่สุด
ขอให้พวกเราชาวไทย หันมาดูแลซึ่งกันและกัน ด้วยความรักห่วงใยที่เรียบง่าย จริงใจ มั่นคง รวมพลังสร้างความสงบสุข “รักตอบ” พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้ ด้วยการลงมือกระทำตามแนวทางอันเป็นกระบวนทัศน์ ”รักเรียบง่าย” ทั้ง ๑๒ ข้อกันเถิด แล้วคนไทยจะยังคงมีแผ่นดินไทย ไว้ให้รักหวงแหนอย่างมีระบบตราบชั่วนิรันดร์
Happy Valentine’s Day ครับ..!
http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9520000015021
Subscribe to:
Posts (Atom)